โดย ชลลดา ทองทวี เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๙
-------------------------------------
บางครั้ง เราจะพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในวิถีการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบและกดดัน ซ้ำร้ายผู้คนรอบข้างยังล้วนแต่ดูเร่งรีบ พยายามรุดไปข้างหน้า เพื่อแสวงหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา

คำถามที่ผุดขึ้นมาคือ เรากำลังตามหาสิ่งใด? ในวัยเด็กนั้น เรารีบเร่งไปโรงเรียนเพื่อเรียนรู้วิชา และเลื่อนระดับการเรียนรู้ขึ้นไปทีละขั้นๆ ในวัยหนุ่มสาว เราเรียนวิชาที่อยู่ในสายเฉพาะทางมากขึ้น และเมื่อเรียนจบแล้ว เราคาดหวังว่าจะได้ทำงานด้านต่างๆ และได้รับค่าตอบแทนในรูปแบบต่างๆ เพื่อเลี้ยงชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราตามหาอยู่จริงหรือ?

ลึกลงไป เราอาจจะกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่านั้น ไม่ว่าจะความรักความอบอุ่นจากความสัมพันธ์กับครอบครัว ความสัมพันธ์ในความเป็นเพื่อน ความสุขจากการได้ทำงานศิลปะ หรืองานที่เรารัก ความสุขจากความสงบเย็นภายในจิตใจ เป็นสันติสุขหล่อเลี้ยงชีวิตด้านใน

แต่การดำเนินชีวิตอันเร่งร้อนอย่างที่เราทำอยู่ทุกวัน ดูเหมือนจะเดินไปคนละทิศคนละทางกับความสุขภายในที่เราแสวงหาเหล่านั้น การทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพทำให้เราต้องวุ่นกับการงานอันยุ่งเหยิง ทำให้เรามีเวลาพูดคุยและดูแลคนที่เรารักน้อยลง ความบีบรัดและแรงกดดันทางเศรษฐกิจนี้ ทำให้เราไม่มีเวลาหยิบพู่กันขึ้นมาวาดรูปสักรูป หรือเขียนบทกวีสักบทอย่างที่อยากจะทำ บางคนกลับเลือกหนทางสร้างความสุขด้วยการซื้อหาสิ่งของมาครอบครองเป็นเจ้าของ แต่ก็เป็นความสุขเพียงชั่วแล่น และยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ต้องทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อหารายได้ให้มากขึ้นไปอีก ความเครียดจากการงานทั้งหมดนี้ทำให้ความสงบเย็นภายในจิตใจเหือดแห้งไป

ดูเหมือนว่า ความกลัวที่จะสูญเสียความสุขทางกายวัตถุ เช่น การได้รับประทานอาหารที่เอร็ดอร่อย มีบ้าน มีรถขับไปไหนมาไหน ความกลัวที่จะเสียสิ่งเหล่านี้จะดึงเอาเวลาในชีวิตของเราไปเสียจนหมดสิ้น มันเป็นเหมือนเป้าหมายสำเร็จรูป และกลับกลายเป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าจริง โดยไม่อาจตั้งคำถามได้
ผู้เขียนนึกถึงเรื่องของการเดินทางในวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง “แฮรี่ พอตเตอร์” นึกถึงการก้าวทะลุผ่านกำแพงอิฐเพื่อไปขึ้นรถไฟ เพื่อมุ่งไปสู่การเรียนรู้ใหม่ของพ่อมดน้อยแฮรี่ ที่ชานชาลาหมายเลข ๙ ๓/๔ ภาพหรือสิ่งที่ตาเราเห็น คือกำแพงแข็งทึบที่ขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า มันต้องอาศัยความเชื่อว่ามีอะไรที่ยิ่งใหญ่อีกมิติหนึ่ง นอกเหนือจากกายวัตถุที่เรายึดติดกันว่าเป็นจริง แฮรี่จึงจะก้าวทะลุพ้นกรอบเดิมๆ ที่กักขังชีวิตของเขาอยู่ออกไปได้

ชีวิตของคนเรา ยังมีอะไรที่มีค่ามากมายไปกว่าการพยายามบำรุงบำเรอร่างกายให้สุขสบาย ถ้าหากเรารับประทานอาหารน้อยลง แต่เรามีเวลา และมีความสุขมากขึ้น เราลองเดินเท้าบ้างแทนการขับรถ แต่ก็ทำให้เราทำงานน้อยลงและเจียดรายได้ไปจ่ายค่าน้ำมันน้อยลงด้วย เราก็น่าจะยังไปถึงจุดหมายเหมือนเดิม และยังดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่อาจมีความสุขมากขึ้นด้วย เราอาจจำเป็นต้องก้าวทะลุกรอบของกายวัตถุที่ขวางกั้นอยู่ เพื่อได้พบกับความหมายอื่นๆ ในชีวิตที่กำลังรอเราอยู่
เรื่องของกายวัตถุนั้นเป็นสภาพที่ดำรงอยู่ได้แค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เราเองไม่อาจจะยึดติดหรือหน่วงเหนี่ยวมันไว้ได้ ไม่ช้าก็เร็วเราคงต้องเผชิญกับความสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นข้าวของในครอบครอง หรือผู้คนอันเป็นที่รัก รวมทั้งร่างกายของตนเองก็ต้องเสื่อมสลายไป

เรากำลังจะเดินชนกำแพงอิฐ ตรงที่ๆ น่าจะเป็นชานชาลาหมายเลข ๙ ๓/๔ เพราะเรากลัวจะบาดเจ็บหัวโนและไปไม่ถึงไหน มีเส้นบางๆ คั่นแบ่งอยู่ระหว่างความจริงทางวัตถุ และความจริงทางจิตใจ ความสุขทางใจที่เรามองไม่เห็นไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่ หรือด้อยคุณค่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราคงเคยได้ยินว่าคนร่ำรวยหลายคนกลับไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อเขาขาดความสุข ขาดความรักในจิตใจ
เราต้องอาศัยความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ ที่จะลองก้าวทะลุกำแพงแข็ง กำแพงที่ตีกรอบ และเป็นข้อจำกัดทางกายออกไปบ้าง และให้เวลากับชีวิตด้านในมากขึ้น

ไม่เช่นนั้น เราก็อาจเป็นแค่อีกคนหนึ่งที่ต้องต่อแถวเบียดเสียด แก่งแย่งกันขึ้นรถไฟที่ชานชาลาหมายเลขที่ ๙ หรือหมายเลขที่ ๑๐ เพียงเพราะว่า เรามองเห็นมันอยู่เบื้องหน้า และปิดอีกดวงตาหนึ่ง ซึ่งเป็นดวงตาด้านใน ดวงตาที่จะนำพาเราไปสู่การเดินทางที่มีความหมาย และเติมเต็มต่อชีวิตได้มากกว่านั้นมากมายนัก

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home