โดย จารุพรรณ กุลดิลก เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา
ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๙
----------------------------------------
ผู้เขียนโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนเหนื่อยง่าย อาจเป็นเพราะสุขภาพไม่ดี ไม่ค่อยออกกำลังกาย แต่ก็ไม่ค่อยยอมรับว่าเหนื่อย สามารถทำงานหามรุ่งหามค่ำจนโดนหามเข้าโรงพยาบาลก็เคย เมื่อก่อนน้ำหนักน้อยมาก ผอมบางเอวกิ่ว โรคที่เป็นบ่อยคือ ปวดท้องลำไส้อักเสบ อาหารเป็นพิษ เกือบจะเสียชีวิตก็เคย ปวดท้องกระทั่งหมดสติ ฟุบร่วงลงไปกับพื้นถนน กว่าคุณหมอจะวินิจฉัยได้ว่าเป็นปัญหาที่ลำไส้ติดเชื้อ ก็เกือบจะได้บ๋ายบายโลกนี้ไปแล้ว แต่ก่อนเคยคิดว่าเราไม่กลัวตาย พอเอาเข้าจริงๆ ณ วินาทีที่เฉียดตายถึงรู้ตัวว่ากลัวตายมากทีเดียว มีห่วงกังวลอีกมากมาย เมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าแค่หมดสติไปชั่วครู่ เห็นใบหน้าบิดาเป็นคนแรก สงสารท่านจับใจ แทนที่เราจะเป็นฝ่ายดูแลท่าน ท่านกลับต้องมาดูแลเรา ตั้งแต่นั้นมา ผู้เขียนเปลี่ยนเป็นคนละคน พูดจาไพเราะขึ้น ไม่เอาแต่ใจตนเอง ดูแลเอาใจใส่คนรอบข้าง และตั้งปณิธานว่าจะทำประโยชน์ให้กับสังคมและคนอื่นที่ด้อยโอกาส ผู้เขียนไม่สนใจเรื่องความงามอีกต่อไป ขอให้ชีวิตรอด รักษาสุขภาพให้ดี จะได้ดูแลคนอื่นๆ บ้าง คิดแค่นี้ก็สุขใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ก้าวย่างแห่งความสุขที่แท้

เนื่องจากการเจ็บป่วยในครั้งนั้นไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากเชื้อโรคอะไร มาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป คุณหมอจึงให้ยาปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคเกือบทุกชนิด รวมทั้งชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เรียกว่าลำไส้โดนล้างสะอาดเอี่ยม เชื้อจุลินทรีย์ตายเรียบ ดังนั้นหนทางเดียวจะไม่ให้ป่วยบ่อยคือ ออกกำลังกายและเพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้น
หลายปีผ่านไป ผู้เขียนก็กลับมาทำงานหามรุ่งหามค่ำอีก ทั้งงานหลวงงานราษฎร์ ปฏิเสธไม่ได้สักงาน เลยไม่สนใจออกกำลังกาย แต่เนื่องจากร่างกายค่อนข้างสมบูรณ์จึงไม่ค่อยป่วยง่ายๆ เหมือนก่อน พอรู้สึกจะไม่สบาย ก็หาเรื่องรับประทานต้านโรค หาอาหารมาบำรุงสารพัด เพื่อไว้ต่อสู้กับไวรัส สารพัดวายร้าย เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลเฉพาะตน แต่ขัดใจคนอื่น ครั้งหนึ่งคนรอบข้างทนไม่ไหว บอกว่าเธออ้วนเกินไปแล้ว ฉันรับไม่ได้ เมื่อก่อนเธอสวยกว่านี้ ลดน้ำหนักเดี๋ยวนี้ ผู้เขียนก็ได้แต่งุนงงว่าทำไมคนรอบข้างจึงเป็นทุกข์นัก ทั้งๆ ที่เรายังหายใจอยู่นะ แถมทำงานได้เยอะมากด้วย

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้คนรอบข้างไม่เป็นทุกข์ทางสายตามากเกินไป เราจึงเริ่มออกกำลังกายในขณะทำงานไปด้วย บริหารคอ มือ แขน ขา ตามตำราที่มีขายอยู่ทั่วไป ได้ผลระดับหนึ่ง พยายามกระโดดหน้าโต๊ะทำงาน และแข็งใจไม่รับประทานอาหารเย็นอยู่พักใหญ่ จนน้ำหนักลดลงมาระดับหนึ่ง คนก็เริ่มชมว่า เธอกลับมาเหมือนเดิมแล้ว พอจะเป็นที่ถูกใจธารกำนัลสักพักใหญ่ (หมายเหตุ แต่ตัวเองเกือบตาย หน้ามืดเป็นลมอยู่หลายครั้ง) ผู้เขียนก็เริ่มกลับมาเจ้าเนื้อเหมือนเดิม แบบเอาใจเธอแล้ว ก็มาเอาใจฉันบ้าง ร่างกายไม่แข็งแรงจะให้ทำอย่างไร ต้องรักษาชีวิตเพื่อทำงานตรงหน้ากองใหญ่ให้สำเร็จ
ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ได้เล่าเพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้ผู้อ่านไปเพิ่มน้ำหนัก เพื่อร่างกายจะได้บึกบึน สามารถโหมงานหนักโดยไม่ต้องออกกำลังกาย เพราะเป็นการใช้ชีวิตที่ผิด เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุจริงๆ และโรคต่างๆ ก็จะตามมาเป็นหางว่าว โดยเฉพาะโรคเครียด โรคหดหู่ซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว

อารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ สามารถอธิบายได้โดยหลักทางวิทยาศาสตร์ การรับประทานแป้งมาก ก็จะมีน้ำตาลในเลือดมาก เกิดการง่วงเหงาหาวนอน ต้องดื่มกาแฟเพื่อต้านความง่วง บังคับให้สมองทำงาน และในที่สุดสมองก็ล้า เลื่อนลอยซึมเซาโดยไม่ทราบสาเหตุ หากไม่บริโภคแป้ง มักจะเปลี่ยนมาบริโภคโปรตีน ซึ่งก็ย่อยยาก ทรมานร่างกาย เป็นปัญหาต่อลำไส้อักเสบอีก หากรับประทานแต่ผัก ก็จะหมดแรงโดยง่าย อย่างไรก็ตามผู้เขียนก็ไม่ยอมรับความเหนื่อย สะกดจิตให้ทำงานไหว ไม่ขุ่นเคือง ไม่สติหลุดง่ายๆ และไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้อีกมากมาย เก็บกดไว้ให้ลึกสุดใจ จนสะสมเป็นความเหนื่อยล้าหดหู่โดยไม่ทราบสาเหตุ สุดท้ายชีวิตจิตใจก็สุกๆ ดิบๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ก้าวย่างสู่ความตายอย่างประมาท

อันที่จริงชีวิตแบบนี้ เกิดขึ้นทั่วไปหมด โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับเราและคนรอบข้างนั้น อาจจะเกิดในรูปแบบแตกต่างกัน แต่เรามักจะแก้ปัญหาไม่ต่างกัน และมักจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ยาที่ขายดีที่สุดในโลกขณะนี้คือ ยาแก้ปวด ยาแก้ภูมิแพ้ และยาแก้โรคกระเพาะอักเสบ ถ้าคนทั้งโลกไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ หากไม่อาศัยยาเหล่านี้ ก็เห็นจำเป็นจะต้องกลับมาทบทวน ว่าการใช้ชีวิตของมนุษย์นั้นถูกต้องแล้วหรือ แล้วเรายังจะใช้ชีวิตในวงจรนี้กันต่อไปอีกหรือ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เคล็ดลับในการเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุข ก็คือความไม่ประมาท “หาเวลาว่าง เรียนรู้พัฒนาการอารมณ์ความรู้สึกภายในตนอย่างสม่ำเสมอ เป็นงานที่ชาวโลกต้องร่วมกันรับผิดชอบ” หมายถึง การสำรวจเรียนรู้อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตนบ่อยๆ จะเป็นแนวทางในการค้นหาทางเดินของชีวิตในตำแหน่งอันเหมาะสม กลางๆ อย่างมีความสุข ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เพราะอารมณ์ความรู้สึกด้านลบต่างๆ นั้น เป็นครูสอนให้เราสามารถสืบสาวต้นตอของการดำเนินชีวิตที่ไม่เป็นปกติเล็กๆ น้อยๆ แต่มีผลกระทบรุนแรง ซึ่งเราอาจมองข้ามละเลยไป อย่าลืมว่าสุขภาพของมนุษย์เป็นธรรมชาติ ดังนั้นความจริงจะสะท้อนออกมาให้เห็นต่อหน้าต่อตาเลยทีเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเฉพาะตน เราสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง และจะทำให้มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง และเมื่อคนๆ หนึ่งพบกับความสุขที่แท้ ตาจะเป็นประกาย หน้าตาผ่องใส คนรอบข้างสัมผัสได้ ย่อมเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบนโลกในยุคควอนตัมฟิสิกส์และทฤษฎีสัมพันธภาพนี้ ชีวิตเชื่อมโยงร้อยเป็นโยงใยที่เรามองไม่เห็น การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เกินกว่าที่เราจะสามารถคาดคิดได้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์แต่ละคน ที่ควรดูแลตำแหน่งแห่งที่ในการใช้ชีวิตของตน เพื่อเอื้อต่อการเรียนรู้ของคนรอบข้างและสังคม ผู้เขียนมิได้รู้ไปเสียทั้งหมดและมิได้ต้องการสอนสั่งผู้อ่านแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้เขียนมีโอกาสได้เรียนรู้แนวทางแห่งความสุขจากท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเป็นคนมีความสุขอย่างยิ่ง คนรอบข้างสัมผัสได้ ผู้เขียนจึงน้อมนำมาปฏิบัติ ผนวกกับความรู้เชิงกระบวนการชีวเคมีที่ศึกษามา ทำให้พอจะเข้าใจสาเหตุปัจจัยต่อความรู้สึกนึกคิดในเชิงชีวภาพได้ เมื่อเห็นแล้ว เกิดความสุขสงบใจอย่างยิ่ง จึงอยากแลกเปลี่ยนกับท่านผู้อ่าน

ตัวอย่างความรู้สึกที่เราสามารถเรียนรู้ได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น หากผู้อ่านรู้สึกง่วงบ่อย แสดงว่า อาจจะบังคับสมองมากเกินไป ต้องหาเวลาพักบ้าง การพักเป็นการทำงาน เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะดูแลรักษาสุขภาพ เพื่อการมีประสาทสัมผัสที่กระจ่างใส เอื้อต่อการเรียนรู้ หยุด เพื่อทำงานใหญ่กว่าเดิมในวันรุ่งขึ้นอย่างร่าเริงแจ่มใส หรือเมื่อร่างกายไม่แข็งแรง ก็จำเป็นต้องพักและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ต้องมีวินัย ที่จะดูแลตนเอง ใครไม่เข้าใจก็ใจเย็นๆ เอื้อเวลา สถานที่ให้เขาเรียนรู้ในโอกาสที่เหมาะสม

หากรู้สึกตัวว่าหงุดหงิดบ่อย อาจจะไม่ได้เกิดโดยนิสัยเสมอไป บางทีอาจเกิดจากสารเคมีที่ไม่สมดุล อาจบริโภคมากเกินไป การเผาผลาญในร่างกายสูงเกินไป แต่ถ้าหากเกิดความขุ่นเคืองเป็นนิจ ขัดใจที่เห็นอะไรต่ออะไรไม่เป็นไปตามความคิด ก็ต้องตามดูความโกรธ ความขุ่นเคือง ว่าไม่เป็นไร ย่อมเกิดขึ้นได้เมื่ออยู่ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลาย สสารที่แตกต่างอาจจะผสมกลมกลืนกันไม่ดีในตอนแรก แต่ความแตกต่างนี้จะกระตุ้นให้เกิดสิ่งใหม่ๆ มากมายที่เป็นประโยชน์ เช่น กรดและด่างรวมกันเป็นน้ำในที่สุด เราคงต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง ความแตกต่างไม่ใช่ความผิดของโลกนี้ ฟังหัวใจตัวเองชัดๆ ฟังเสียงที่ไม่เคยได้ยิน ดูแลหัวใจ เมื่อเห็นใจตนเองชัดเจนแล้ว จะเห็นใจผู้อื่น ว่าที่เห็นแตกต่างกันนั้น อันที่จริงไม่ต่างกันเลย

ต่อไป หากรู้สึกตัวว่า เพลิดเพลินหลงลืม ขี้เกียจงานการเกินไป ก็เพราะ อาจจะเหนื่อยล้าหัวใจ เก็บกดเรื่องบางอย่างไว้ลึกที่สุด เหนื่อยจนไม่อยากทำงานการอีกแล้ว ได้แต่หาเรื่องสนุกสนานบังไว้ให้ลืมโลก หากยังไม่พร้อมที่จะยกสาเหตุของความเหนื่อยใจขึ้นมาตรวจสอบดู ก็ไม่เป็นไร ขอให้รู้สึกตัว แต่เพียงว่า ตัวเองกำลังเพลิดเพลิน ตามดูไป ความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นพร้อมกับความกลัว กลัวในความผิดพลาด ยิ่งตำหนิตัวเองเท่าไร ยิ่งเหนื่อยและยิ่งหาเรื่องเพลิดเพลินต่อไป ถ้าเป็นเช่นนี้ให้มีสติ ให้รู้ว่าเพลิดเพลิน เลื่อนลอย ไม่ต้องตำหนิตัวเอง ให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ ความเหนื่อยเกิดขึ้นได้ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

ถ้ารู้สึกกังวล ฟุ้งซ่าน ก็ให้รู้ว่าเป็นธรรมชาติอีกอันหนึ่ง มนุษย์ทุกคนมีความฟุ้งซ่านเช่นนี้ บางทีทำให้ผู้อื่นรำคาญใจ เมื่อโดนต่อว่า ก็จะยิ่งเก็บกด แล้วก็ยิ่งฟุ้งซ่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขออย่าตำหนิตนเอง ตามดูไป ความฟุ้งซ่านเกิดจากความไม่มั่นใจเรื่องราวในอดีต ในอนาคต ต้องกลับมาคำนวณใหม่ว่าทำผิดหรือไม่ คนเรามักไม่อยากผิดพลาด เพราะจะทำให้ขายหน้า ก็ขอให้รู้ว่าเป็นการขายหน้าแบบโลกๆ โลกใบนี้เล็กนิดเดียวเท่านั้น เป็นเรื่องสมมติทั้งสิ้น ในความเป็นจริง ความผิดพลาดเป็นครูในทางธรรมและในทางวิทยาศาสตร์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ต้องไม่ตำหนิคนอื่นที่ไม่เข้าใจ เพราะเขาก็กำลังพยายามไม่ฟุ้งซ่านเหมือนเรา และไม่มีใครอยากฟังความทุกข์ ก็ต้องเห็นใจซึ่งกันและกัน

ท้ายสุดหากอารมณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยเป็นความลังเล สับสน สงสัย ก็ตามดูไปเรื่อย ๆ ว่าสงสัย หากวันนี้ไม่เชื่อถือ วันหน้าอาจจะเชื่อก็ได้ หมดสงสัยก็ได้ ไม่จีรังยั่งยืนดอกความรู้สึกของคน เป็นธรรมชาติ ควรค่าแก่การติดตามดูอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว ธรรมชาติเหล่านี้ คนเรามีเหมือนกันหมด แล้วจะทำให้เราเกิดความสงสารต่อเพื่อนมนุษย์ ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ร่วมกันบนโลกนี้ การเรียนรู้ตามสังเกตดูอารมณ์ความรู้สึกอย่างสม่ำเสมอ ว่าเป็นทุกข์ ไม่จีรัง ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป เป็น “ก้าวย่างเบื้องแรกแห่งความสุข” อย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home