โดย ชลลดา ทองทวี เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๙
--------------

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปปลีกวิเวกตามลำพังที่เกาะแห่งหนึ่งทางใต้ เป็นการเดินทางที่ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะไปที่แห่งไหน ทำใจให้สบายๆ แล้วแต่ว่าการเดินทางจะพาเราไปที่ไหน
ที่เกาะแห่งนั้น ผู้เขียนได้สัมผัสน้ำทะเลใสๆ และทรายนุ่มขาว ดูพระอาทิตย์ตกดิน และเห็นว่ามีสีรุ้งบนผิวน้ำตรงขอบฟ้าทุกวัน

ในคืนหนึ่งที่ผู้เขียนลงไปนอนลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ ดูดาวและพระจันทร์ พลันรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากธรรมชาติ ที่หลอมรวมเราเป็นหนึ่งเดียวกันแบบไม่มีเงื่อนไข สัมผัสอันนั้น มันเปิดให้ตัวเองได้เปิดเปลือยความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองอย่างจริงจัง.. สิ่งที่อาจจะไม่ได้ทำมากนักเวลาต้องอยู่ในเมืองใหญ่กับคนหมู่มาก เข้าประชุมแบบต่อเนื่องทั้งวัน.. ยิ้ม.. ทักทาย.. และรักษามรรยาทตามกฎกติกาของสังคม

กลับมาจากการเดินทางครั้งนั้น ผู้เขียนยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ธรรมชาติ เลยขับรถไปเที่ยวสวนต่างๆ และแม่น้ำลำคลองแถวศาลายา และนครชัยศรี ความที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารในช่วงนั้นทำให้รู้สึกแปลกใจเพราะเห็นน้ำท่วมไปเสียทุกหนทุกแห่ง เมื่อผู้เขียนได้เข้าไปพูดคุยกับชาวสวนที่เคยไปเยี่ยมเยือนรู้จักกัน จึงได้รู้ว่า เป็นน้ำท่วมที่ผิดปรกติธรรมดา ไม่เคยมีมาในรอบ ๑๐ ปี

มีคนเล่าว่า น้ำมากมายเหล่านี้เป็นน้ำที่ระบายออกมา เพื่อไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ สักพัก การเดินทางเพื่อหาความสงบเย็นจากธรรมชาติแถวนี้ก็จบลง เพราะว่าได้เห็นความทุกข์ยากของผู้คน ชาวสวนที่เป็นห่วงว่าสวนผลไม้กำลังจะตาย ชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมตัวบ้านและร้านค้าน่าอึดอัดใจ

สัปดาห์ถัดมา ผู้เขียนได้เดินทางกลับบ้านไร่ที่ภูเรือ จ.เลย เป็นการเดินทางที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะเป็นสถานที่คุ้นเคย คือบ้านของตัวเอง

แต่ความเงียบของที่นั่น เสียงนก พลังของต้นไม้ใหญ่น้อยในไร่ ค่อยๆ ดึงเรากลับไปสู่ความผ่อนคลายเดียวกันกับที่ได้สัมผัสที่เกาะนั้นอีกครั้ง มีดอกบัวตองกำลังบาน ทั้งสวย และยังมีกลิ่นหอมด้วย เป็นสถานที่ที่เหมือนที่เกาะนั้น คือรู้สึกว่าแม้แต่หมาก็ยังยิ้ม

ลองขับรถออกไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยนัก ได้เห็นทะเลภูเขาในมุมมองใหม่ๆ มันเวิ้งว้างท้าทายจินตนาการ ที่หุบเขาข้างล่าง มีทุ่งนาที่มีรวงข้าวสีทองเต็มไปหมด ชาวนาเริ่มเกี่ยวข้าวแล้ว มีควายตัวอ้วนๆ เดินเล่นอยู่ เหมือนภาพในฝัน

สิ่งที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นสำหรับผู้เขียน คือ หลังจากอยู่กับธรรมชาติที่ผ่อนคลายเช่นนี้ได้ไม่กี่วัน ผู้เขียนเริ่มได้ยินเสียงต่างๆ มากขึ้น เป็นเพราะเราวางใจที่จะเปิดใจรับสัมผัสกับสรรพสิ่งอย่างที่เป็น ได้ยินเสียงนก เสียงจิ้งหรีด เสียงสายลม และในตอนตื่นนอนตอนเช้าวันหนึ่ง ผู้เขียนก็ เริ่มได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง รู้สึกถึงความเหนื่อยอ่อน..คาดหวัง.. ความไม่ผ่อนคลาย เริ่มได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง.. ที่ “คิด” อยู่ตลอดเวลา บางที เราคิด มากกว่าที่เราดำรงอยู่เสียอีก คิดไปก่อน คิดตามหลัง คิดว่าเรามีชีวิตอยู่แบบนั้นแบบนี้ หรือแม้แต่ คิดว่า เรามีความสุข สิ่งที่เราไม่ได้ยินเลยคือ เสียงของชีวิตของตัวเองจริงๆ อย่างที่มันเป็น

..ได้นอนเกลือกกับเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้น.. เสียงท้องร้อง.. ความพยายามที่จะควบคุมของความคิดอีกเช่นเคย
บางครั้ง นานๆ ครั้ง จะมีคนมาพูดด้วยบ้าง ทำให้เห็นตัวเองพยายามจะยิ้ม พูดอะไรบางอย่างเพื่อเป็นบทสนทนา ทั้งที่ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนั้นอย่างนั้น เห็นตัวเองพยายามตัดสินคู่สนทนา เวลาฟังเขา
ที่สะดุดใจคือ รู้สึกว่า ไม่เคยได้ยินเสียงเหล่านี้มาก่อนในสภาวะปรกติ ยกเว้น เวลานั่งสมาธิ หรือ ฝึกเจริญสติ ทั้งที่ใช้ชีวิตมาตั้งครึ่งค่อนชีวิต มันคงเป็นเพราะ ไม่เคยได้สัมผัสธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติอย่างเต็มที่มากพอ ในสภาวะเช่นนี้ มันเป็นการเจริญสติแบบไม่ได้ตั้งใจจะฝึก ผ่อนคลายกว่ากันมากนัก เพราะว่า เราแค่เปิดเปลือยตัวเองออกตามธรรมชาติ ไม่ได้คิดว่าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติภาวนาอะไร แค่อยู่อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนที่ธรรมชาติเป็น

รู้สึกได้ถึงความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ เมื่อคนเราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติที่หม่นเศร้า สกปรก ซึ่งเป็นผลจากการกระทำของเราเอง ที่ไปจัดวางธรรมชาติเสียใหม่จนผิดรูปผิดร่าง ในธรรมชาติที่ไม่เป็นธรรมชาติเช่นนั้น ใจของเราเอง ที่จะโอบกอดสัมผัสสรรพสิ่งอย่างเต็มที่ ก็กลับปิดกั้น ใจของเราเอง ที่จะสัมผัสได้ยินเสียงใจของตัวเอง ก็บิดเบือนมืดบอดไป

จำเป็นเหลือเกิน ที่มนุษย์จะต้องฟื้นธรรมชาติขึ้นมา ธรรมชาติที่อยู่ภายนอก ที่สัมผัสและสัมพันธ์กับธรรมชาติในหัวใจของเราอย่างใกล้ชิด เราจำเป็นต้องกลับไปหาธรรมชาติให้มากขึ้น เพื่อปลุกให้เสียงในใจที่แท้จริงของเรา ได้ตื่นขึ้น

เราจะมีความสุขที่แท้จริงในชีวิตได้อย่างไร ถ้าเรายังไม่ได้ยินเสียงของหัวใจของตัวเอง เราจะสื่อสารความสุขนั้นต่อไปได้อย่างไร ถ้าเรายังไม่สามารถแม้แต่จะสื่อสารกับตัวเองได้อย่างแท้จริง การสื่อสารและรับฟังที่ผิดพลาด ย่อมทำให้การตั้งโจทย์ของชีวิตผิดพลาด และทำให้การกระทำที่จะตอบโจทย์นั้นๆ ผิดพลาดไปหมดตามไปด้วย

ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนยังได้มีโอกาสอันดี ที่ได้พานักศึกษากลุ่มหนึ่งไปฝึกปฏิบัติเจริญสติและวิปัสสนา กับคุณแม่ อมรา สาขากร ที่สวนพุทธธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา จึงได้คำอธิบายให้เข้าใจว่า การเจริญสติ หมายถึง “การเผชิญหน้ากับความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา” มีนักศึกษาบางคน ที่สามารถปฏิบัติได้ดีกว่าผู้ใหญ่ ที่ฝึกปฏิบัติมาหลายปีเสียอีก ทั้งที่มาลองฝึกเป็นครั้งแรก ความใสซื่อเปิดตรงไปตรงมาต่อความรู้สึกของตัวเองของเด็กๆ เป็นพื้นฐานที่ดีในการเริ่มฝึก เพราะเด็กๆ ยังรักษาความเป็นธรรมดา ตามธรรมชาติของตัวเองไว้ได้มาก เพียงแต่มีครูผู้ชี้นำที่เหมาะสม ให้ตามดูความรู้สึกเหล่านั้น เด็กๆ ก็จะสามารถได้ยินเสียงใจได้อย่างชัดเจน และจึงมีสติรู้ตัว ที่ก่อให้เกิดปัญญาตามมาได้

ดังที่การปฏิบัติของพุทธแบบซกเช็นของทิเบตกล่าวไว้ว่า จิตเดิมแท้ของมนุษย์นั้นบริสุทธิ์ เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อให้ก้าวสูงขึ้นไปสู่ความซับซ้อนอันใด แต่เพื่อเปิดต่อการตระหนักรู้ถึงความบริสุทธิ์อันเป็นธรรมชาติพื้นฐานนั้น การคืนกลับสู่การตื่นรู้ในธรรมชาติ จะนำเราสู่การได้ยินเสียงใจที่ชัดเจน และมีความสุข จากปัญญาที่เกิดขึ้นเพราะการได้เห็นความจริงนั้น

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home