โดย ธีระพล เต็มอุดม
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๙
----------------

เด็กชายตัวน้อยเฝ้าคอยวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามาด้วยใจจดจ่อ เมื่อวันนั้นจะมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างงดงามดังหวัง เสียงเพลงเสียงระฆังดังกังวาน ทุกหนแห่งประดับประดาด้วยดวงไฟและริบบิ้นแดงเขียว หิมะโปรยละอองขาวบางปกคลุมไปทั่ว เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เจ้าหนูรอคอย คุณลุงใจดีในชุดสีแดงผู้มีชื่อว่าซานตาคลอส

ในระหว่างขับรถจักรยานเที่ยวเล่นไปตามถนนในหมู่บ้านกับพี่สาว เจ้าหนูบอกเล่าถึงการมาเยือนของลุงซานต้าให้เธอฟังอย่างตื่นเต้น ทว่าเธอพลันหัวเราะเยาะตอบน้องชายวัยเก้าขวบว่า
“มีซานตาคลอสซะที่ไหน แค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้นแหละ ใครๆ ก็รู้”

ราวกับถูกปลุกตื่นจากฝันหวาน เจ้าหนูรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลา ต้นคริสต์มาสประดับดาวและตุ๊กตาดูเหงาหงอย ความร่าเริงสดใสในท่วงทำนองเพลงหายไป

เจ้าหนูทนเก็บความอึดอัดสงสัยว่าซานตาคลอสนั้นมีจริงหรือไม่เอาไว้จนเกือบค่ำ ขณะกำลังทานขนมอบเชยรสหอมหวานฝีมือคุณยาย จึงได้เอ่ยปากถามยาย ผู้ที่จะบอกเขาแต่ความจริงเสมอ ยายขมวดคิ้วก่อนตอบว่า
“ข่าวลือนี่มีมานานหลายปีแล้วนะ เอาล่ะ งั้นเราออกไปข้างนอกกัน”
“ไปไหนครับคุณยาย?”

คุณยายขับรถพาหลานตัวน้อยไปยังห้างสรรพสินค้า มอบเงินให้สิบเหรียญและปล่อยเขาอยู่ตามลำพัง บอกเพียงว่า
“หลานเอาเงินนี้ไปซื้อของขวัญนะ อะไรก็ได้ไปมอบให้คนที่หลานคิดว่าเขาควรจะได้รับ”

เจ้าหนูลังเลนิ่งคิดอยู่สักครู่ใหญ่ ด้วยไม่คุ้นเคยกับการซื้อของโดยลำพัง เขานึกถึงเพื่อนไปทีละคน แล้วก็นึกถึงบ๊อบบี้ เพื่อนผู้ไม่เคยลงไปเล่นหิมะกับเพื่อนๆ ที่สนามในช่วงพักกลางวัน บ๊อบบี้บอกครูว่าเขายังไอและไม่หายจากหวัด แต่ทุกคนต่างรู้ว่าสาเหตุจริงๆ คือครอบครัวของบ๊อบบี้ยากจน ไม่มีรายได้มากพอซื้อเสื้อโค้ทกันหนาวให้ใส่

คิดได้ดังนั้นแล้ว เจ้าหนูจึงตัดสินใจซื้อเสื้อโค้ทกันหนาวตัวหนึ่งให้เป็นของขวัญแก่เพื่อนคนนี้ ระหว่างช่วยกันห่อของขวัญ คุณยายยังแนะนำให้เขาเขียนการ์ดแนบไว้ ข้อความว่า “สำหรับบ๊อบบี้ จาก ซานต้า”
คุณยายยังบอกด้วยว่า “เอาล่ะ ตอนนี้หลานได้เป็นทีมซานตาคลอสแล้วนะ และจะเป็นตลอดไป”

ท่ามกลางอากาศหนาวและหิมะในคืนก่อนวันคริสต์มาส สองยายหลานขับรถไปยังบ้านของบ๊อบบี้ เจ้าหนูวางของขวัญไว้หน้าประตูบ้าน เคาะประตูเรียก แล้ววิ่งผลุบเข้าไปหลบในพุ่มไม้ทันก่อนที่บ๊อบบี้จะเปิดประตูออกมา เมื่อเขาหยิบกล่องของขวัญขึ้นและจ้องดูการ์ด เจ้าหนูก็ได้เห็นสีหน้าและแววตาของเพื่อน เห็นความสุข ความฝันและความหวังบนใบหน้าและดวงตาคู่นั้น

จนบัดนี้ผ่านมาแล้วถึง ๔๐ ปีเขาก็ยังไม่เคยลืม
. . . . . . . . . . .

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าในวัยเด็กของชายผู้หนึ่ง เรื่องของเขาอยู่ในอีเมลที่ส่งต่อๆ กันมา เรื่องเล่าธรรมดาสามัญแต่มีเนื้อหาที่จับใจนี้ ไม่เพียงทำให้เรารู้สึกซาบซึ้งและประทับใจไปกับเหตุการณ์จนอดใจไม่ได้ ต้องส่งต่อไปให้คนอื่น หากเรื่องราวนี้ยังถ่ายทอดบอกเล่ากระบวนการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษาอย่างเรียบง่ายอีกด้วย

กระบวนการเรียนรู้ที่ว่านั้นเป็นอย่างไร? กล่าวคือ เมื่อคุณยายพบกับคำถามว่าซานตาคลอสมีจริงหรือ ท่านไม่ได้พยายามอธิบายให้เชื่อ หรือยกเอาเหตุผลใดมากล่าวอ้าง ไม่แม้แต่บอกปัดการตอบคำถามหลานตัวน้อย คุณยายเลือกใช้วิธีสร้างโอกาสให้หลานมีประสบการณ์โดยตรงกับเรื่องซานตาคลอส

การได้เผชิญกับเรื่องราวด้วยตัวเอง ได้มีประสบการณ์ตรงนี้เอง ทำให้หลานเกิดความเข้าใจด้วยใจ ไม่ใช่เข้าใจเพราะต้องเชื่อคล้อยตามผู้ใหญ่ หรือเชื่อเพราะเกรงกลัวไม่กล้าขัดแย้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เต็มไปด้วยคุณค่าและความหมายต่อชีวิตตนเองและผู้อื่นเช่นนี้ แม้คุณยายจะสามารถอธิบายแจกแจงเหตุผลให้เชื่อได้ แต่ก็ไม่อาจสร้างความลึกซึ้งลงในใจของหลาน

การมีประสบการณ์ตรงด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งของการเรียนรู้ในแบบจิตตปัญญาศึกษา เพราะความเข้าใจในหลายเรื่องไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการฟัง แต่ต้องได้ปฏิบัติทดลองทำเอง จึงจะเป็นความเข้าใจที่ไม่ได้ท่องจำ เป็นความเข้าใจที่มาจากการเกิดปัญญา

ผู้สอนไม่ได้ทำหน้าที่จดจำความรู้มาถ่ายทอดตามตัวอักษร และผู้เรียนไม่ได้มีหน้าที่จดจำรายละเอียดให้ได้ครบถ้วนมากที่สุด คุณยายไม่ได้บอกให้หลานเชื่อเรื่องซานตาคลอส และหลานก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อตามไปทุกอย่าง ฉันใดก็ฉันนั้น

สิ่งสำคัญอีกประการของการเรียนรู้จึงได้แก่ การได้คิดอย่างใคร่ครวญลึกซึ้ง ดังเช่นคุณยายปล่อยให้เจ้าหนูได้คิดและตัดสินใจว่าควรจะให้ของขวัญอะไรแก่ใคร สร้างโอกาสให้เขาได้ตรึกตรองด้วยตนเอง ได้เห็นประโยชน์ของเงินที่จะสร้างความสุขให้แก่ผู้อื่น เจ้าหนูผู้เรียนมิได้ตัดสินใจด้วยหลักเหตุผลเท่านั้น หากยังมีทั้งความเมตตาเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ยากของเพื่อน

และเมื่อเพื่อนได้รับของขวัญนั้น ความรู้สึกตื้นตันเปี่ยมสุขก็กลับคืนสู่ผู้ให้ ความประทับใจและความเข้าใจในคุณค่าของการให้จึงจับใจมาตลอด ๔๐ ปีไม่จางหายไปไหน
. . . . . . . . . . .

เรื่องราวในอีเมลส่งต่อกันนี้ เราเองอาจจะไม่ได้รู้แน่ชัดหรือได้คำตอบว่าซานตาคลอสมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ เพราะคำถามนั้นหาใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป สิ่งที่ค้นพบเมื่อได้เรียนรู้เข้าไปในใจของเรานั่นคือความรักต่อผู้อื่นต่างหากที่เป็นคุณค่าและความหมายที่แท้ของซานตาคลอส

ตัวเราเองเล่า จะเลือกทำความเข้าใจและตัดสินเรื่องราวต่างๆ ในโลกจากเรื่องเล่าของผู้อื่น เหมือนดังพี่สาวบอกเจ้าหนูว่าซานตาคลอสไม่มีอยู่จริง หรือจะลองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เห็นโลกในอีกมุมมองจากการสัมผัสด้วยใจ ดังที่คุณยายให้หลานชายได้ค้นหาจนพบกับซานตาคลอสที่อยู่ในใจของเขาเอง

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home