โดย เจนจิรา โลชา
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๑

ความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นภายในร่างกายและจิตใจของเรา เราเคยรับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นบ้างหรือเปล่า? ทั้งอารมณ์ความรู้สึกด้านดีและด้านร้ายๆ ที่แสนจะน่าชังในตัวเอง โกรธ เกลียด รัก อบอุ่น เศร้า เหงา ดีใจ สุข ทุกข์ เสียใจ และความรู้สึกอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด

บ่อยครั้งที่เราไม่รับรู้ความรู้สึกและอารมณ์เหล่านั้น นั้นอาจไม่ใช่เพราะเราด้านตาย เป็นคนไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แต่อาจเป็นเพราะเราไม่เคยหันกลับมาอยู่กับตัวเองและสำรวจว่า ตอนนี้เรามีความรู้สึกอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นภายในร่างกายและจิตใจของเราบ้าง เราไม่เคยเชื่อในสิ่งที่ร่างกายและจิตใจของเราบอก เรามักเชื่อในความคิดของเรามากกว่า ความคิดที่มีความสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยการปรุงแต่ง แต่ร่างกายของเราที่ประสบกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรง เราไม่เคยเชื่อถือมันเลย ไม่เคยแม้แต่จะเงี่ยหูฟังในสิ่งที่ร่างกายบอกแก่เรา ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในร่างกายและจิตใจของเรา แม้มันจะตะโกนบอกเราดังแค่ไหน เราก็มักจะปฏิเสธมันออกไปได้ง่ายว่าเราไม่มีมัน ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมันเป็นอารมณ์ความรู้สึกด้านที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย

และอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรานั้นก็มักสะสมอยู่ในเนื้อในตัวของเรา ยิ่งเราเกิดอารมณ์นั้นบ่อยๆ ก็ยิ่งสะสมมากขึ้น และเมื่อเราไม่เคยเข้าไปสำรวจ รับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นเลย มันก็ยิ่งฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของเรา และเชื่อหรือไม่ว่าเราจะจดจำและฝังเก็บอารมณ์ด้านร้ายได้ดีกว่าด้านดีๆ ที่สำคัญความรู้สึกเหล่านั้นอาจจะโผล่มาอีกครั้งในรูปของความเจ็บปวดทางกาย การเจ็บป่วยทางจิต ความหวั่นไหวทางอารมณ์ จิตใจที่ไม่มั่นคง และนั่นก็เป็นที่มาของความทุกข์

แล้วเราจะสัมผัสรับรู้อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้อย่างไร และเราจะปลดปล่อยตัวเองจากอารมณ์เหล่านั้นที่มันเกิดขึ้นกับเราได้อย่างไรกัน อาจมีทางเลือก มีคำตอบที่มากมายหลายหลาก แต่เมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันได้ค้นพบความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายและอยู่ในจิตใจ โดยผ่านดนตรี คลื่นเสียงและความเงียบ และไม่อยากจะเชื่อว่าเสียงดนตรีจะปลุกความรู้สึกที่ฝังลึกอยู่ในร่ายกายให้ตื่นออกมาได้

จากการอบรม “ดนตรี: คลื่นแห่งความสุข” ในครั้งนั้นวิทยากร คือ คุณเมธี จันทรา และ คุณสุพัฒน์ ฟูสิน ได้เชื้อเชิญให้เราได้ทบทวนถึงเหตุการณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เราโกรธใครสักคนหรือสิ่งใดสักอย่าง และวิทยากรก็ได้เล่นดนตรีที่ช่วยทำให้เราสัมผัสรับรู้ถึงอารมณ์โกรธพร้อมกันด้วย ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าในร่างกายของฉันได้สะสมความโกรธไว้เป็นอย่างมาก โกรธที่ไม่เคยรู้เลยว่าโกรธ ฉันคิดภาพถึงเหตุการณ์ที่เคยโกรธ หรือเกลียดใครไม่ออกเลยสักภาพ แต่ด้วยร่างกายสัมผัสถึงพลังแห่งดนตรี ฉันก็ค้นพบว่าท้องเกิดอาการปั่นป่วน หัวใจเต้นดังตึกๆๆๆ รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก แล้วจู่ๆ น้ำตาก็พลันไหลออกมา ฉันรับรู้ถึงความโกรธที่มีอยู่ในตัวฉัน ฉันไม่รู้ว่าโกรธใครหรือสิ่งใด แต่มันมีอยู่ในตัวฉัน ในตัวฉันที่ไม่เคยคิดว่าจะโกรธหรือเกลียดใครได้ ฉันค่อยๆ คลี่ก้อนอารมณ์โกรธนั้นออกมาดู สัมผัสมันอย่างตรงไปตรงมา แล้วมันค่อยๆ เผยออกมาให้ฉันได้รับรู้ว่า ที่ผ่านมาฉันเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่อาจแสดงความโกรธนั้นออกมาได้ แทนที่จะแสดงอาการเกรียวกราด ด่า ต่อว่าหรือตะโกนให้ใครต่อใครรับรู้ว่าฉันโมโห ฉันมักจะแปรมันเป็นน้ำตา ร้องไห้เสียใจ อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า ฉันไม่สามารถแสดงท่าทีตอบโต้คนที่ฉันโกรธอย่างนั้นได้ หรือฉันไม่กล้าแสดงท่าทีแบบนั้นเพราะมันจะทำให้ฉันดูเป็นคนไม่น่ารัก เป็นคนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ตอนนี้ฉันพบว่าในตัวฉันมีความโกรธ แต่นั้นมันไม่ได้ทำให้ฉันเป็นคนไม่น่ารัก ฉันกลับรู้สึกว่าฉันเป็นคนธรรมดาๆ นี่เอง คนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และฉันรู้สึกว่าฉันสัมผัสมันได้ มันเป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในตัวฉัน แค่เรารับรู้ถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าอารมณ์นั้นจะร้ายหรือดี เมื่อรับรู้มันก็จะคลี่คลายตัวเอง เราแค่สัมผัสมันเพียงเบาๆ ลูบไล้บางๆ ราวกับว่าเป็นของมีค่าที่เราได้ค้นพบว่ามันมีในตัวเรา เราไม่อาจจะบอกปัดหรือปฏิเสธอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ เมื่อมันเกิดขึ้นเราก็เพียงรับรู้ ที่สำคัญเรามักไม่เคยรู้ว่าเรามี หรือบางครั้งเรารู้ว่ามีแต่เราก็ไม่เคยใส่ใจมันเลย

ต้องขอบคุณดนตรี คลื่นเสียงและความเงียบที่มาช่วยปลุกความรู้สึกที่ตกตะกอนอยู่ที่ก้นบึ้งในหัวใจ ให้บางสิ่งที่คั่งค้างนอนนิ่งอยู่ในจิตวิญญาณได้ลุกขึ้นมาปรากฏตัวให้เราได้เห็น ได้สัมผัสและคลี่คลายมัน ทำให้เรากล้าที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจของเราได้ง่ายขึ้น ยอมรับอย่างที่มันเป็นว่ามันเกิดขึ้นในตัวเรา เหมือนเสียงทุกเสียง คลื่นทุกคลื่นทั้งที่เราสัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้ เมื่อมันเกิดขึ้นเราต้องยอมรับมัน เราไม่มีทางที่จะทำให้เสียงขลุ่ยดังหนักแน่นดั่งเสียงกลองได้ เมื่อมันมีเราก็ยอมรับว่ามี ทุกอารมณ์ความรู้สึกเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นกับเรา เหมือนเช่นเสียงทุกเสียง คลื่นทุกคลื่นเป็นสภาวะของมันอย่างนั้นเอง

ดนตรีสามารถเป็นตัวเชื่อมประสานความรู้สึก อารมณ์กับร่างกายได้เป็นอย่างดี ร่างกายของเราสามารถรับคลื่นทุกคลื่นที่มากระทบเราได้ และคลื่นสามารถกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก เพราะร่างกายเราก็เป็นคลื่นหนึ่งเช่นเดียวกับเสียงดนตรี

ดนตรีบอกให้เราเชื่อมั่นในร่างกาย เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รับฟังเสียงร่างกายที่บอก เมื่อเราเชื่อในร่างกาย เราก็จะรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ดีขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรู้ถึงสภาวะที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ว่าสภาวะนั้นจะดีหรือร้าย นั่นก็เป็นสภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเรารับรู้จะทำให้เรากล้าที่จะเผชิญกับทุกสภาวะที่ผ่านเข้ามาพบเจอเรา ไม่หลีกหนี เก็บซ่อนให้มันจมฝังอยู่ในจิตใจ จนเราเผลอนึกว่าไม่มีมัน

ดนตรีเป็นดั่งประตู เป็นเหมือนช่องทางที่จะช่วยทำให้เรากลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวของเราเอง เป็นกุญแจที่จะทำให้เราสัมผัสและเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น หากร่ายกายและจิตใจได้เปิดรับเสียงดนตรี ก็คล้ายกับว่าเรากำลังต้อนรับเชื้อเชิญทุกความรู้สึกให้ปรากฏต่อเรา ให้ดนตรีและความรู้สึกเป็นคลื่นที่จะทำให้เราตื่นรู้อยู่กับร่างกายและจิตใจของเรา ลองเผชิญกับทุกความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดขึ้น มันอาจกลายเป็นความมหัศจรรย์ที่มีอยู่ในคนธรรมดาอย่างเรานี่เอง

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home