โดย สาทร สมพงษ์
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๑

ครอบครัวเรามีหมาอยู่ตัวหนึ่ง ผมตั้งชื่อให้มันว่า “ซามุ” เป็นภาษาญี่ปุ่น บางคนที่คุ้นกับเซนอยู่บ้าง อาจจะเคยได้ยิน “ซาเซ็น” ซาเซ็นหมายถึง การทำสมาธิในนิกายเซน ขณะที่ซามุคือ สมาธิที่มีการเคลื่อนไหว ซึ่งจะออกมาในรูปของการทำงานในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การกวาดลานวัด การผ่าฟืน หาบน้ำ การปรุงอาหาร กิจวัตรทุกอย่างจะทำไปอย่างมีสติและสมาธิในทุกๆ อิริยาบถ นัยยะหนึ่งก็ตั้งชื่อนี้เพื่อได้เป็นเครื่องเตือนใจตัวเองเมื่อเรียกชื่อหมา

หมาตัวนี้ได้มาจาก อ.ละแม จ.ชุมพร จากเพื่อนของเราสองสามี ภรรยาซึ่งทำโรงเรียนเล็กๆ อยู่แถบนั้น เป็นหมาพันธุ์ Golden Retriever มันเป็นลูกหมาที่น่ารัก มีขนสีทองสมชื่อ หูปรกลงมาทั้งข้าง แม่ของมันคลอดออกมาสามตัว เราขอมาเลี้ยงตัวหนึ่งตั้งแต่อายุยังไม่ถึงหนึ่งเดือน ให้กินนมอยู่ไม่กี่วันก็เริ่มกินข้าวได้ ซามุเป็นหมาขี้เล่น ชอบเล่นกับลูกๆ ของผม และเด็กๆ ที่มาเรียนดนตรีที่บ้าน

มีใครบางคนบอกว่า หมาพันธุ์นี้เป็นมิตรกับมนุษย์มากที่สุดในบรรดาหมาพันธุ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ มันจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงเพื่อเฝ้าบ้าน เมื่อมันอายุได้สามเดือน เราย้ายบ้านจากพัทลุงมาอยู่ในเมืองสงขลา นัยหนึ่งก็เพื่อมาอยู่ดูแลลูกๆ ด้านหนึ่งก็ภารกิจการงานเรียกร้องให้เข้ามาสิงสู่ในเมืองบ้าง ผมตั้งใจที่จะเข้ามาทำโรงเรียนที่เป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจในการศึกษาที่ไปพ้นในเรื่องของการแข่งขัน และการไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความเป็นเลิศทางวิชาการเพียงอย่างเดียว หากให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เป็นองค์รวมของชีวิต และเห็นถึงคุณค่าของการเรียนรู้ที่จะพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้นมา

ในอีกด้านก็เริ่มเข้าไปทำงานกับบุคลากรในองค์กร หน่วยงานที่ต้องการพัฒนาไม่เพียงแต่ในเรื่องทางกายภาพหรือชีวิตทางวัตถุเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็เพียงให้คนเอาตัวรอดไปวันๆ เท่านั้นเอง คนส่วนใหญ่จึงเริ่มตระหนักยิ่งขึ้นทุกวันว่า ชีวิตเช่นนี้ค่อนข้างขาดคุณค่าและความหมาย ยิ่งทำงานไปก็ยิ่งพบแต่ความว่างเปล่าและรู้สึกเดียวดาย แม้จะอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนมากมายก็ตามที เพราะวิถีชีวิต รวมทั้งระบบการศึกษา การงานต่างๆ ล้วนหล่อหลอมให้ทุกคนคิดและทำอะไรไปจากฐานของผลประโยชน์ ความต้องการของตัวเองเป็นหลัก สำนึกและจิตใจของผู้คนจึงเริ่มคับแคบลงเรื่อยๆ เพราะเราใช้อวัยวะทางจิตอยู่เพียงไม่กี่อย่าง คนจึงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ขาดการเชื่อมโยงกัน ใจเช่นนี้กระทบกระทั่งได้ง่าย โกรธง่าย ช่างถือสา คิดแต่จะเอาประโยชน์จากคนอื่น จึงมีความสุขได้ยาก เปรียบไปแล้วก็เสมือนกับใจที่ป่วยไข้ รักไม่เป็น

คนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ ติดดีกันมาก เรายึดมั่นในความดีความงาม หากเห็นใครหรือแม้แต่ตัวเองทำไม่ดี ไม่เข้าท่า เราก็จะเป็นทุกข์เป็นร้อน แม้แต่การสอนหมา “ซามุ” ของเรา เราก็สอนไปจากรากฐานตรงนี้ เมื่อซามุถ่ายหนัก-เบาในบ้าน โดยเฉพาะเมื่อโตแล้ว แต่ยังทำแบบนี้จะต้องถูกตี ลงโทษหนักๆ หลายครั้งที่ผมพบว่าไม่ได้ผลนัก บางครั้งซามุก็ยังทำ ไม่รู้เหมือนกันว่า มันเป็นอะไร หากเราคิดง่ายๆ ก็อาจจะอธิบายกับตัวเองว่า มันเป็นหมาที่ถดถอย มีรู้จักจดจำ ใช้ไม่ได้ แต่หากคิดไปอีกทางหนึ่ง หรือใช้ความรู้สึกโดยไม่ต้องคิด มันอาจจะสอนอะไรบางอย่างกับเรา เราเรียนรู้อะไรได้จากตรงนี้บ้าง หมาจะไม่มีเรื่องดี-ชั่ว ผิด-ถูก ขณะที่คนจะเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ เราไม่เคยไปพ้นจากสิ่งคู่ ไม่อยู่ตรงขั้วนี้ก็ไปจับอยู่อีกขั้วหนึ่ง เราเลือกข้างและเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา สภาวะจิตของเราจึงไม่เคยนิ่งสงบ กลับวิ่งว่อน ปกป้องตัวเอง หรืออยากจะเอาชนะ ต้องดี ต้องถูกอยู่ตลอดเวลา

หมามีสมองชั้นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของสัญชาตญาณที่ทำหน้าที่ในการรักษาชีวิตให้อยู่รอด และสมองชั้นกลางซึ่งทำหน้าที่ในเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก เป็นหลักของชีวิต ไม่มีสมองชั้นนอกซึ่งใช้สำหรับขบคิด คำนวณ หรือจินตนาการเหมือนคน เขาจึงมีความรู้สึก มีอารมณ์ที่ผูกพันกับคนค่อนข้างมาก เขาจึงอาจจะรักคนมากกว่าที่คนรักเขามากมายนัก ขณะที่ของคู่กับความคิด คือการคิดเปรียบเทียบ แข่งขัน หมาไม่มีเงื่อนไขในเรื่องของความคิด เขาจึงไม่ทุกข์เท่าคน เราเรียนรู้ตรงนี้จากหมาได้มากน้อยแค่ไหน

วันนี้ซามุอายุได้ห้าเดือน ผมเปิดประตูรั้วเพื่อจะเอารถยนต์ออก ก่อนหน้านี้ เวลาผมจะเอารถออก ผมมักจะขังซามุไว้ในบ้านก่อน เพราะหากไม่ขังไว้ มันก็จะวิ่งออกไปข้างนอก เข้าไปในซอย เราก็จะต้องวิ่งตามมันจนเหนื่อย บางครั้งก็เข้าไปกัด ไปเล่นกับหมาตัวอื่นๆ ในบ้านของเพื่อนบ้าน แต่วันนี้ ผมไม่ได้ทำเช่นนั้น เมื่อผมเอารถออก ซามุจึงกระโจนตามออกไป คราวนี้เขาวิ่งไปด้านตรงข้ามที่เคยวิ่ง คือตรงไปในทิศที่เป็นถนนใหญ่ ผมตะโกนบอกภรรยาว่า ซามุออกไปแล้ว เธอวิ่งตามออกมา ผมขับรถเข้าเทียบข้างๆ ตัวมัน มันกลับวิ่งไกลออกไปอีก ถึงถนนใหญ่แล้วรถกระบะคันหนึ่งแล่นมาอย่างเร็ว เขาพยายามจะเบรก แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว รถจึงพุ่งเข้าชนซามุจนกระเด็น ซามุร้องเสียงหลงและวิ่งเข้ามาที่ริมถนน ภรรยาของผมวิ่งเข้าไปหามัน ซามุนอนนิ่งตัวอ่อนยวบ ผมเอามันขึ้นรถยนต์พาไปส่งโรงพยาบาลสัตว์ ไปถึงหมอช่วยปั๊มหัวใจด้วยมืออยู่ได้ไม่นาน ซามุก็สิ้นใจ หมอบอกว่าปอดมันฉีก เพราะมีเลือดออกมาทางปาก และมีฟองอากาศอยู่ในนั้นด้วย

ภรรยาของผมร้องไห้เหมือนคนไม่มีสติ ไม่มีการควบคุมใดๆ เธอปล่อยโฮออกมาเสมือนลูกคนหนึ่งได้ตายจากไปทีเดียว เธอระล่ำระลักออกมาว่าจะไม่ให้อภัยผมเด็ดขาด ผมนิ่งฟังอย่างสงบโดยไม่ได้โต้ตอบอะไรเธอเลย ผมยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น หัวใจผมรู้สึกเปิดออกรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คิดจะปกป้องตัวเองแต่อย่างใด ผมมองย้อนเข้าไปภายในตัวเอง ยอมรับกับตัวเองโดยดุษฎีว่าเราประมาท ดูเบาเกินไป และเราไม่ได้รักซามุเท่าที่ควร เราจึงปล่อยปละละเลยจนเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ผมยอมรับอีกเช่นกันว่า ผมยังรักไม่เป็น ซามุซึ่งเป็นหมารักเป็นกว่าผมและพวกเราทุกคนในครอบครัว

ความตายของซามุจึงเท่ากับการสอนเรื่องความรักให้แก่เรา ความรักที่ไปพ้นจากความคิด ความจำ การเปรียบเทียบ สิ่งคู่ต่างๆ ชีวิตผิดได้ ถูกได้ ดีได้ แย่ได้ สิ่งที่ควรค่าแก่การทำ ก็คือ การเรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มันได้บอกอะไรแก่เราบ้าง หากเรารักกันเป็น เราก็จะทุกข์น้อยกว่านี้ไหม ครอบครัวก็จะมีความสุขมากขึ้นกว่านี้ไหม เรื่องนี้จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เราจะจดจำไว้อีกนานเท่านาน เป็นบทเรียนบทสำคัญที่เคลื่อนใจเราออกไปได้อีกอักโขทีเดียว

ความตายมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง เพราะทุกครั้งเมื่อมีการตายก็จะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นเช่นกัน ขอเพียงเราได้พินิจ เฝ้ามองด้วยหัวใจที่ใคร่ครวญ เราก็จะสัมผัสกับความจริงภายในหัวใจของเราเอง

วันวาเลนไทน์, 14 กุมภาพันธ์ 2551, บ้านเขาแก้ว สงขลา

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home