โดย เจนจิรา โลชา
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๑


คุณคิดหรือว่าสิ่งที่คุณพูดคือความจริง...

คำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกจากปากของเรา มันคือความจริงทั้งหมดในใจของเราหรือเปล่า สิ่งที่เราทำลงไป ใช่สิ่งที่เราอยากจะทำจริงๆ ตามเสียงที่หัวใจตะโกนบอกหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นเพียงพื้นผิวที่อยู่บนสุดของความจริงที่อยู่เบื้องลึกในจิตใจเราเท่านั้น เป็นเพียงเปลือกของความจริงเท่านั้น

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนเพิ่งได้ค้นพบว่าตัวเองเป็นจอมโกหก โกหกคนอื่นยังไม่พอ ยังโกหกตัวเองอีกด้วย ตอนที่ได้รับรู้ถึงด้านมืดในจิตใจของตัวเองเช่นนี้ รู้สึกตกใจ หวาดหวั่นใจเป็นที่สุด หัวใจเต้นแรง ตัวชาไปทั้งตัว ความคิดเวียนวนสับสนไปมาว่า ทำไมเราจึงเป็นคนเช่นนี้ เรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นไหลผ่านเข้า ย้อนกลับเป็นฉากๆ แสดงภาพให้ยิ่งตอกย้ำตราตรึงว่า เราเป็นจอมหลอกลวง พูดในสิ่งที่ไม่ใช่ความคิด ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ทำในสิ่งเราไม่ได้ต้องการจะทำมันจริงๆ หรือไม่ทำตามความต้องการในหัวใจของตัวเอง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาลวงคนอื่นและตัวเองอยู่เสมอ แล้วเพราะอะไรหรือสิ่งใดกันเล่า ที่ทำให้เราเป็นคนลวงหลอกเช่นนี้ ทั้งที่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนี้เลย ไม่ได้อยากที่จะเป็นคนแบบนี้ ไม่ได้ต้องการให้คนอื่นต้องมาเจ็บปวดหรือแบกรับความทุกข์จากคำโกหกของเรา เราแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปกับสิ่งที่เราทำลงไป ไม่เลย ไม่อยากเลย.... เสียงจากมุมที่มืดมิดในหัวใจร้องดังขึ้นมาว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่เราคิดว่าตัวเองเป็นคนดี มีน้ำใจ ช่วยเหลือแบ่งปันสุขทุกข์ รับฟัง ใส่ใจผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่น ทั้งหมดนี้เรากำลังโกหกตัวเองและหลอกลวงคนอื่นอยู่หรือเปล่า เพราะว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นอาจจะไม่ใช่ความต้องการแท้จริงที่อยู่เบื้องลึกในใจของเรา

ความลวงที่เราสร้างขึ้นมาหลอกคนอื่น มันตามกลับมาหลอนตัวเราเอง หลอกหลอนจนเราไม่รู้เลยว่า จริงๆ แล้วความจริงคือสิ่งใด เราคิดและรู้สึกอย่างไรกันแน่ อะไรคือสิ่งที่เราปรารถนาจริงๆ กระทั่งแทบไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนเช่นไร นั่นเป็นความเจ็บปวดอย่างที่สุดที่ได้ค้นพบว่าตัวตนของเราบิดเบี้ยวจากภาพที่เราคิดจินตนาการไว้ และตัวเราเองที่เป็นคนทำให้ตัวตนของเราบิดเบี้ยว ทั้งยังทำให้คนอื่นรับรู้ตัวตนของเราแบบผิดๆ อีกด้วย เพียงเพราะเราไม่ซื่อสัตย์กับความรู้สึก ความคิด ความต้องการของตัวเอง

เราลองถอยหลังมาสักหนึ่งก้าว แล้วเฝ้ามองดูความลวงที่เราสร้างขึ้นกันเถอะ

เมื่อเรากำลังลวงหลอกตัวเองและคนอื่น เรามักหาเหตุผลต่างๆ มาอ้างเพื่อให้รู้สึกว่า เป็นความชอบธรรมในการที่เราจะทำเช่นนั้น ทำเพื่อให้งานออกมาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพื่อผู้คนจะได้ไม่ต้องขัดแย้ง มีแต่ความรักให้แก่กัน อยากให้มีความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อคนนั้น เพื่อสิ่งนี้ ข้ออ้างสารพัดที่เราสร้างขึ้นมา ท้ายที่สุดนั่นก็เป็นเพียงการปิดบัง เก็บงำความต้องการ ความปรารถนาของเราเอาไว้ เพื่อรักษาภาพตัวตนของเรา ตัวตนที่แสนจะอ่อนแอ เปราะบาง ที่ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยบอกความต้องการ ความปรารถนาที่แท้จริงของเราต่างหาก กลัวที่จะเผชิญกับความเจ็บปวด กับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่ตัวเองคาดหวัง

และเหตุผลที่เรายกมาอ้างนั้นเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความจริงในใจเราเท่านั้น แต่เรามักจะหยิบมันขึ้นมาพูดราวกับนั้นเป็นเหตุผลหลักสำคัญในการที่เราจะเลือกหรือตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างลงไป แล้วเราก็เก่งมากในการที่จะทำให้คนอื่นๆ เชื่อว่านั่นคือ เหตุผลที่แท้จริงของเรา จนในที่สุดคนอื่นๆ ก็เชื่อตามที่เราอยากให้เข้าใจ ปฏิบัติกับเราอย่างที่เราอยากให้เป็น แต่จริงๆ แล้วสิ่งนั้นไม่ใช่ความจริงของใจเราเลย เพราะเหตุนี้เองคนอื่นจึงเข้าใจเราคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ปฏิบัติต่อเราอย่างผิดๆ ถูกๆ หรือไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวกับเราอย่างไรดี และเราก็มักจะอึดอัดการสิ่งที่คนอื่นคิดและปฏิบัติต่อเรา ทั้งที่เราเองที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นในการที่ทำให้คนอื่นเข้าใจเราอย่างถูกๆ ผิดๆ เอง

บางครั้งเราก็ใช้เหตุผลมาอ้างอิงเยอะแยะไปหมด ซับซ้อนหลายชั้น จนบางครั้งตัวเราก็ยังงงเสียเองว่า จริงๆ แล้วเหตุผลที่แท้จริงคือสิ่งใดกันแน่ ยิ่งเรามีข้ออ้างอื่นมากลบกลื่นความจริงในใจเรามากขึ้น ตัวตนของเราก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากขึ้นๆ คนรอบข้างก็เข้าถึงความจริงในตัวเรายากมากขึ้น จนในที่สุดมันได้กลายมาเป็นการหลอกลวงตัวเอง ค้นหาเสียงที่แท้จริงในตัวเองไม่เจอเสียแล้ว เพราะเสียงนั้นมันไม่เคยดังถึงหูผู้ใด ไม่เคยถูกสัมผัส ไม่เคยถูกรับรู้ ไม่เคยมีใครได้ยินเสียงที่แท้ในใจเรา เพราะแม้แต่ตัวเราเองยังมองข้ามเสมอ เราเลือกที่จะไม่ฟัง เลือกที่จะเก็บและปิดบังเสียงในใจเราจนมันเลือนหายไป แล้วเราก็พบว่าเสียงนั้นไม่ได้หายไปไหน เสียงแห่งความจริงในใจเราจะกลับมาหลอกหลอนตัวเราเสมอ ไม่ว่าเราจะเก็บงำมันไว้ดีสักเพียงไหน สุดท้ายเราก็ไม่สามารถที่จะทนการหลอกลวงตัวเองต่อไปได้อีก เพราะเราจะเริ่มรู้สึกว่าการหลอกลวงตัวเองนั้นมันกำลังจะกัดกินตัวตนของเราไปเรื่อยๆ พลังชีวิตของเรากำลังค่อยๆ หมดไป เหนื่อยล้า ไม่มีสนุก ไม่มีความคิดสร้างสรรค์กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย ด้วยว่าเราได้กักขังเสียงภายในและตัวตนที่แท้จริงของเราเอาไว้มานานแสนนาน และภาพลวงที่เราสร้างขึ้นนั้นมันได้บาดรัดหัวใจของเราจนไม่อาจทนความอึดอัดได้อีกต่อไป

การที่เราจะแหวกม่านมายา ภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้นมาเองนั้นเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก และเราอาจจะรู้สึกเจ็บปวดกับมันมากมาย แต่เมื่อรับรู้ว่าในตัวเรามีมุมของการลวงหลอกตัวเองและผู้อื่นซุกซ่อนอยู่ สิ่งที่เราจะทำได้คือต้องอ่อนโยนกับตัวเองให้มาก ลดการกล่าวโทษหรือตัดสินตัวเองที่เป็นคนอย่างนี้ เพราะการที่เราเลือกใช้วิธีการเช่นนี้ทำให้เราสามารถดำรงตนอยู่ได้ในทุกวันนี้ การที่เราไม่ได้รับฟังหรือทำตามเสียงภายในตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ใช่สิ่งที่ถูกหรือผิด เพียงแค่เพราะเราหลงลืมที่จะเอาใจใส่ตัวเอง เรามักเลือกที่จะฟังเสียงคนอื่น ความต้องการของคนอื่นมากกว่าตัวเอง เพียงเพราะเรากลัว กลัวที่จะเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราพูดความคิด ความรู้สึกที่แท้จริง กลัวว่าจะบางสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิดวาดหวัง กลัวว่าถ้าพูดสิ่งที่เป็นความปรารถนาในใจของเราออกไปแล้วเราจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ไม่น่ารัก ไม่เป็นคนดี เราวาดความกลัวไว้ก่อนเสมอแล้วเอาความกลัวนั้นมาห่อหุ้มตัวตนอันเปราะบางของเราไว้

ความกลัวนั้นเป็นมายาที่เราสร้างเอาไว้เช่นกัน การพูดความจริงและการทำตามสิ่งที่ใจเราปรารถนาไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเลย นั่นกลับเป็นสิ่งที่กล้าหาญยิ่งกว่าสิ่งใดที่เราสามารถซื่อสัตย์ต่อตัวเองได้ เมื่อเราซื่อสัตย์กับตัวเองเราจึงจะสามารถซื่อสัตย์ต่อคนอื่นได้ เมื่อเราพูดความจริง คนอื่นก็จะรับรู้เราตามความเป็นจริง จะทำให้เขาเหล่านั้นลดการปรุงแต่งที่มีต่อเรา ปฏิบัติต่อเราอย่างที่ถูกที่ควรมากขึ้น แม้ความจริงที่เราพูดอาจจะทำให้ตัวเองและคนอื่นต้องเจ็บปวดกับความจริงเหล่านั้น แต่นั่นคือสิ่งที่จะช่วยกะเทาะเปลือกตัวตนที่ขลาดกลัวของเราให้มีความกล้าหาญมากยิ่งขึ้น และความมีน้ำใจ การช่วยเหลือแบ่งปัน ร่วมทุกข์สุขกับผู้อื่นของเราก็จะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจจริงที่มันเอ่อล้นไปยังผู้อื่นโดยไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝง ที่เราและผู้อื่นก็สามารถรับรู้ได้ถึงความจริงใจนั้น

การลวงหลอกตัวเองสร้างบาดแผลในใจของเรามานาน อย่าให้มันกลายเป็นแผลเรื้อรังคอยกัดกร่อนชีวิตและจิตวิญญาณของเราอีกต่อไปเลย ปลดปล่อยตัวตนของเราออกจากความลวงที่เราสร้างพันธนาการตนเองไว้ เบื้องหลังความลวงคือ ความจริงอันไพศาล ความจริงที่เราไม่อาจตัดสินตัวเองและผู้อื่นได้ นอกจากเปิดใจกว้างให้ความจริงเข้ามาปรากฏในใจเราและเผยความจริงนั้นออกมาด้วยตัวเราเองเท่านั้น คงไม่มีใครที่จะปลดปล่อยตัวเราออกจากความลวงหลอกตัวเองได้นอกจากตัวเราเอง ม่านลวงที่เราสร้างขึ้นมาเอง เราก็ต้องสลายมันด้วยตัวเองเช่นกัน

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home