โดย พูลฉวี เรืองวิชาธร
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

“ครอบครัวเราแม่มีลูกหลายคน ฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เราเป็นลูกคนเดียวที่ถูกส่งไปอยู่ในความอุปถัมภ์ของผู้มีอุปการะคุณตั้งแต่เด็ก ทำให้เราคิดอยู่ในใจเสมอว่าแม่ไม่รักเราจึงไม่อยากเลี้ยงดูเราเหมือนพี่น้องคนอื่น อยู่มาวันหนึ่งได้กลับมาเยี่ยมบ้านมีโอกาสเลยถามแม่ว่า ‘แม่รักลูกเท่ากันไหม’ แม่ตอบว่า ‘ลูก ดูซินิ้วมือทั้งห้านิ้วเท่ากันไหม…..’ แม่ได้จากเราไปหลายปีแล้ว แต่น้ำตาที่ไหลอยู่ข้างในอก ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เสียใจ โกรธเกลียดว่าแม่ไม่รักเรา มันยังจดจำและฝังอยู่ในใจเรามาตลอดไม่เสื่อมคลายเลย แม้เวลาจะผ่านมา ๕๖ ปีแล้วก็ตาม…..” เสียงที่สั่นเครือกับน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มของเพื่อนผู้ร่วมเรียนรู้ท่านหนึ่งได้บอกเล่าเรื่องราวเปิดเผยความในใจที่เก็บมาไว้นานเกือบทั้งชีวิตให้กลุ่มได้รับฟัง*

ขณะที่รับฟังเพื่อนเล่า ภาพความทรงจำเก่าของผู้เขียนก็ย้อนกลับมาอีกครั้งอย่างชัดเจน วันนั้นเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมกับสรรพสำเนียงเสียงที่ไม่ค่อยจะพอใจนักของพี่สาว “ไปอยู่ที่ไหนมาติดต่อไม่ได้เลย แม่...เส้นเลือดในสมองแตกอาเฮียกำลังพาไปโรงพยาบาลศิริราชเพื่อผ่าตัดสมองด่วน อาการเป็นตายเท่ากัน....” รู้สึกตกใจจนตัวชา สมองมึนตึ๊บ พอเริ่มคิดแว้บแรก...ทำไมแม่เป็นความดันสูงแล้วไม่บอกใคร ลูกตั้งเก้าคนไม่มีใครรู้เลยหรือไง ทำไมไม่มีใครใส่ใจแม่เลย แล้วเราล่ะมัวทำอะไรอยู่ เราเองก็ไม่ได้ใส่ใจแม่ด้วย เสียใจโกรธโมโหพาลไปหมด โกรธแม่ โกรธพี่ๆ มาลงท้ายที่เสียงก่นด่าโกรธและตัดสินตัวเองว่าเราเป็นลูกที่ไม่ดีไม่ดูแลแม่มัวแต่ไปดูแลใครก็ไม่รู้ เสียงนั้นยังชัดดังก้องในความทรงจำของผู้เขียนถึงแม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาเกือบ ๔ ปีแล้วก็ตาม

ผู้เขียนเองเป็นอีกคนหนึ่งที่มักจะเก็บและแช่แข็งสิ่งค้างคาใจไว้นาน บางขณะก็มักจะจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกผิดทั้งที่อาจทำไปด้วยความผิดพลาดพลั้งเผลอไม่ได้ตั้งใจ หรืออาจตั้งใจแต่ด้วยความไม่เดียงสาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บางครั้งการกระทำของเราก็ไปทำให้เกิดการบันทึกความไม่ดีในใจของผู้อื่นโดยที่เราก็ไม่ทันได้รู้ตัวหรือไม่ได้ตั้งใจ บางทีเราก็ยังจดจำเรื่องที่ผู้อื่นกระทำให้เราโกรธเกลียดไว้ในใจลึกๆ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม หากเรายังไม่ได้คลี่คลายอย่างแท้จริงเรื่องนั้นก็ยังคงฝังจำอยู่ในใจเราจนบางครั้งเราคิดและบอกกับคนอื่นและตัวเองว่าเราไม่ได้โกรธแล้ว คลี่คลายหรือหายดีแล้ว แต่เมื่อมีบางสิ่งบางอย่างมาสะกิดใจอีกครั้งเราจึงรับรู้ได้ว่าลึกๆ เรื่องค้างคาใจนั้นยังมีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจเราอย่างไม่สร่างซา เหมือนกับแผลเป็นบางแผลที่ดูภายนอกนั้นเหมือนว่าหายสนิทดีแล้วแต่พอถูกสะกิดหรือโดนเข้าทีไรก็ยังรู้สึกเจ็บลึกๆ อยู่ทุกครั้ง

การที่เราเก็บงำความรู้สึกค้างคาต่างๆ ไว้ในใจ หากเป็นเรื่องที่เราทำให้ผู้อื่นทุกข์ ก็อาจจะส่งผลให้เราไม่กล้าแม้กระทั่งจะยอมรับความจริงบางอย่าง ไม่ยอมเปิดโอกาสเพื่อที่จะปรับความเข้าใจกัน บางครั้งทำให้ต้องสร้างภาพบางอย่างทำให้ผู้อื่นเข้าไม่ถึงเรา บางครั้งไม่กล้าแม้กระทั่งที่จะกล่าวคำว่า “ขอโทษนะคะแม่ ขออภัยนะจ๊ะพี่” ไม่กล้าแม้จะกล่าวคำว่า “รักแม่นะ” ไม่กล้าที่จะสัมผัสหรือโอบกอดคนที่เรารัก ที่สำคัญยิ่งก็คือหลายคนยังไม่ทันได้ทำในสิ่งที่กล่าวมาก็มีอันต้องตายจากกันไปก่อนซึ่งนับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง แต่หากเรื่องค้างคาใจเป็นเรื่องที่ผู้อื่นทำให้เราโกรธเกลียดยังไม่ได้รับการปลดเปลื้อง เช่น เรายังไม่ได้ให้อภัยแก่คนที่เราโกรธเกลียดจริงๆ อย่างน้อยๆ เมื่อใดก็ตามที่เรานึกคิดถึงคนๆ นั้นใจเราก็จะเริ่มเป็นทุกข์ด้วยความโกรธเกลียดที่ฝังอยู่ในใจของเราโดยที่เขาคนนั้นยังไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

ในอดีตอันไกลโพ้นมนุษย์มีสัญชาติญาณการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดต้องระแวดระวังภัยเพื่อการดำรงอยู่ก็เลยต้องจดจำสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่ต้องเตรียมพร้อมเพื่อหลบหลีกภัยในครั้งต่อๆ ไป นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะจดจำเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นด้านร้ายได้รวดเร็วและฝังในใจได้นานกว่าประสบการณ์ด้านดีๆ เพราะจะทำให้อยู่รอดปลอดภัย แต่หากเราจดจำสิ่งที่เป็นด้านร้ายๆ มากและนานจนเกินไปมักจะทำให้เรามองข้ามกับสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราจดจำฝังใจกับด้านร้ายๆ ได้นานก็เพราะเรายึดมั่นถือมั่นในความคิดความเห็นหรือความเชื่อของเรามากอีกทั้งการคิดปรุงแต่งไปเองจนไม่ยอมที่จะเปิดใจรับฟังเสียงภายในตัวเองและเสียงของผู้อื่นอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้เราไม่ยอมที่จะขออภัยผู้อื่นหรือไม่ยอมให้อภัยคนที่ทำร้ายเราโดยเฉพาะการไม่ยอมให้อภัยในความผิดพลาดพลั้งเผลอของตัวเอง สาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการติดยึดกับเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นได้นานก็คือความโลภความอยากของเรา เรามักจะคาดหวังกับคนที่อยู่ใกล้ชิดมากเกินไปคิดอยู่เสมอว่าเขาต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามที่เราพึงปรารถนาไม่ควรทำในสิ่งที่เราไม่ชอบไม่พอใจ

เสียงเพื่อนคนเดิมยังคงเล่าเรื่องราวต่อ “.....เมื่อได้นั่งนิ่งใคร่ครวญอย่างมีสติเราได้เผชิญกับปมปัญหาภายในใจที่เราฝังไว้นาน เราเก็บซ่อนไว้อย่างดีที่สุด ในอีกมุมหนึ่งเราก็ได้เห็นสิ่งงดงาม ความรัก ความหวังดี ความยากลำบาก ความทุกข์ทรมานใจที่แม่ได้รับขณะที่มีความจำเป็นบางอย่างจนต้องให้เราไปอยู่กับคนอื่น…..คิดถึงแม่ รักแม่มากๆ…. สิ่งที่ค้างคาในใจได้ปลดเปลื้องหมดสิ้นแล้วขณะนี้…. ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่รับฟังด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง ไม่ด่วนตัดสิน ให้โอกาสได้ระบายความในใจที่เก็บซ่อนไว้มาเกือบตลอดชีวิต”* เสียงนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำตายังคงอาบสองแก้มแต่เป็นน้ำตาแห่งการคลายเงื่อนปมความทุกข์ภายในใจ เป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติของมนุษย์ผู้มีความหวัง ได้รับพลังชีวิตกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

บางทีการประสบกับสิ่งร้ายในชีวิตเปรียบไปก็คล้ายกับเรากำลังเล่นไพ่ บางครั้งเราไม่สามารถเปลี่ยนไพ่ที่เราจั่วมาได้ แต่เราจะเล่นไพ่ในมืออย่างไรให้ดีที่สุดต่างหากกลับเป็นสิ่งสำคัญกว่าการพยายามวิ่งหนีหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายๆ ของชีวิตอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่ว่าเรากล้าหาญและใจกว้างพอที่จะเผชิญกับความจริงเหล่านั้นได้มากน้อยเพียงใด ในยามที่เรานิ่งมีสติตื่นรู้พอเราจะเห็นได้ว่ายังมีความงดงามเกิดขึ้นมากมายในอดีตที่เรามักหลงลืมที่จะจดจำหรือเลือกที่จะไม่จดจำความสุขความดีงามต่างๆ เหล่านั้นเพียงเพราะความทุกข์บางอย่างที่เป็นม่านบางๆ มาบดบัง หรืออาจเป็นเพียงเพราะเราคิดว่าเป็นหน้าที่ที่เขาต้องทำให้กับเราในเวลานั้นเราจึงมองไม่เห็นคุณค่าในการกระทำเหล่านั้น แต่หากเรานิ่งพอและมองใหม่ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกิดจากความรักความจริงใจความหวังดีเราก็จะเห็นสิ่งต่างๆ อย่างเป็นจริงรอบด้านมากขึ้น และเราก็จะได้รับของขวัญชิ้นใหญ่เป็นความปลื้มปิติ ความสุข พลังชีวิตให้เราก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง

หากเราเริ่มเข้าใจธรรมชาติอีกสิ่งหนึ่งของมนุษย์ก็คือ มนุษย์ทุกคนล้วนรักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น และตระหนักอยู่เสมอว่าไม่รู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ด้วยกันอีกนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หรือชาติหน้าสิ่งไหนจะมาถึงเราก่อนกัน วันนี้อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายก็ได้ เวลาที่ผ่านมานั้นมีค่าน้อยกว่าเวลาที่เราเหลืออยู่ เราแก้ไขสิ่งที่ผ่านมาไม่ได้แต่เราสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ตามที่เราต้องการ หากเราคิดได้อย่างนี้เราก็จะนุ่มนวลต่อชีวิตและสิ่งรอบกายได้มากขึ้น ทำให้เราระมัดระวังในการทำของเราเพื่อไม่ให้เกิดการบันทึกสิ่งที่ไม่ดีในใจทั้งของเราและผู้อื่นโดยเฉพาะเด็กๆ (เพราะสิ่งไม่ดีในใจเกิดได้ง่ายแต่จะลบออกนั้นยากกว่ามาก) เราจะปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความรักความปรารถนาดีต่อกัน ใส่ใจดูแลถนอมน้ำใจกันมากขึ้นโดยเฉพาะคนใกล้ชิด ชื่นชมในสิ่งดีๆ ที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยสี่ที่มีอย่างไม่ขัดสน สุขภาพร่างกายที่ยังคงแข็งแรง ทรัพย์สมบัติเงินทองที่หามาได้ ครอบครัวที่อบอุ่นมีคนที่เรารักและรักเรา หรือแม้กระทั่งความรู้สึกดีๆ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่หาได้ง่ายในชีวิต พิจารณาใคร่ครวญปล่อยวางสิ่งที่เรายึดติดทั้งสิ่งที่เรารักและสิ่งที่เราเกลียดสิ่งใดที่ยังคงค้างคาใจให้เราเร่งขวนขวายกระทำอย่าผัดผ่อนอีกต่อไปเลยเพราะเราอาจจะไม่ได้ทำก็ได้ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นที่จะทำสิ่งดีๆ ให้กับทุกสรรพชีวิตและพร้อมที่จะทำทุกสิ่งในปัจจุบันขณะให้ดีที่สุดด้วยความตั้งใจมีสติและตื่นรู้พอที่จะเดินต่อไปด้วยความกล้าหาญ กล้าเผชิญอย่างมั่นคง


* จากการเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติหัวข้อ”เผชิญความตายอย่างสงบ” เมื่อ ๒๔-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ จัดโดย เครือข่ายพุทธิกาและเสมสิกขาลัย

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home