โดย สมพล ชัยสิริโรจน์
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑


ในสถานการณ์ที่ขัดแย้งอย่างรุนแรงในใจเรา “ศัตรู” ของเราก็สามารถเป็น “ครู” ที่อาจจะปลอมตัวมาช่วยเราให้นึกได้ว่า เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร ถ้าเราไม่ประหารเขาให้ดับสูญไปเสียก่อน

สำหรับคนที่เห็นแก่ตัวมาตลอดชีวิต คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน และกระทำการใดๆ ก็ตามเพื่อตัวเองเท่านั้น คนอื่นไม่ต้องพูดถึง เขาผู้เห็นแก่ตัวผู้นี้แทบจะไม่รู้ตัวเลยว่า เขาไม่รู้จักว่าการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ดูแลและเมตตากรุณาใครต่อใครนั้นให้ความสุขลึกๆ ในใจต่างกับที่ทำให้แต่ตนเองอย่างไร

ในทางกลับกัน สำหรับคนที่เห็นแก่ผู้อื่น เอื้อเฟื้อผู้คน เห็นใครต่อใครสำคัญกว่าตนเองเสมอนั้น ก็แทบจะไม่รู้จักเลยว่า การยืนยันความต้องการของตัวเองและรู้จักปฏิเสธความต้องการคนอื่นนั้น สามารถทำให้จิตใจปลอดโปร่ง และเบาใจได้อย่างไร

คนเห็นแก่ตัวกับคนเห็นแก่คนอื่น ต่างก็เป็นขั้วที่ตรงกันข้ามดั่งศัตรูก็ว่าได้ และต่างก็เป็นครูผู้สามารถสอนกันและกันก็ได้ เพื่อให้เรารู้จักบทเรียนว่า จะเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่คนอื่นอย่างครบถ้วนครบครันนั้น ย่อมย้อนมาจรรโลงชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ถ้าต่างไม่ปลิดชีวิตของกันและกันไปเสียก่อน

แต่หากเราสามารถเปล่งคำด้วยอารมณ์ใส่ผู้คนที่ต่างขั้วกับเราว่าเขาเป็นศัตรู อีกทั้งสามารถบริภาษเขาว่าเป็น "สัตว์นรก หรืออมนุษย์" และปรารถนาให้เขาเหล่านั้น “ไปตายซะเถิด ไปตายซะก็ดี (จะได้พ้นหูพ้นตา)” เสี้ยววินาทีนั้นบอกถึงเสียงด้านในของตัวเราเองที่คอยพิพากษาผู้คน

หากเราได้พิจารณาคำพิพากษาของเราที่กำลังสาดซัดไปกระทบใครต่อใครแล้ว เราจึงจะสามารถมองเห็นได้ว่า เราพิพากษาฟาดฟันใคร และเขาหรือเธอคนนั้นมีบุคลิกประเภทใด เขาเป็นคนอย่างไร บุคลิกนั้นรวมทั้งพลังของคนประเภทนั้นนั่นแหละที่เรากำลังต้องการเอามาดูแลความเปราะบางของเรา หรืออย่างน้อยมาถ่วงดุลขั้วความเคยชิน ความชำนาญที่เรายึดถือเป็นคุณค่าของเรา และกำลังมีพลังแรงกล้าอย่างมากมายจนอยากให้ใครต่อใครที่อยู่ตรงกันข้ามกับขั้วของเรานั้น “ตาย” ไปซะ

เป็นเรื่องท้าทายยิ่งนัก ที่จะต้องหันกลับมายอมรับว่า คู่กรณีหรือศัตรูของเรานั้น คืออีกด้านหนึ่งของเราที่หายไป หรือเงาของเรานั่นเอง และการยอมรับว่า เขาสามารถที่จะเป็น “ครู” ผู้กำลังแนะนำให้เรารู้ตระหนักว่าเราขาดอะไร เราไม่สามารถกระทำการบางอย่างที่ตรงกันข้ามกับขั้วที่เรายึดติดอยู่ซึ่งเราไม่รู้เลยว่า เราไม่รู้ขั้วตรงกันข้ามนั้นเป็นอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น เป็นไปได้ไหมว่า เราเคยเห็นแก่ตัว อยากทำอะไรตามใจตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ของตัวอย่างสุดๆ เราอยากได้ของเล่นเป็นของเราสักชิ้น แต่ในฐานะพี่คนโตเราต้องยกให้น้อง เพราะมิฉะนั้นพ่อแม่ไม่รัก หรือหากเราเป็นลูกคนกลาง เราต้องรับมรดกเสื้อผ้าจากพี่คนโต และเราก็ต้องยอมกล้ำกลืนที่จะเห็นน้องมีข้าวของใหม่ใส่ เพราะเขาใช้เสื้อผ้าไซส์เล็กกว่าเรา และไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราถูกกะเกณฑ์ให้เป็นคนที่ต้อง “เห็นแก่ใครๆ” มากกว่าเห็นแก่ตนเอง

เราจึงเห็นคนที่เห็นแก่คนอื่นเท่านั้นเป็นที่รัก เป็นคนดี เป็นเทพ และเห็นคนเห็นแก่ตนเองเป็นสัตว์ หรือแม้กระทั่ง “สัตว์นรก” เพราะวันที่เราเคยลุกขึ้นมาเรียกร้องว่า เราต้องการเสื้อใหม่ของเรา เราอยากเล่นของเล่นใหม่ของเราโดยไม่ต้องแบ่งกับใคร วันนั้นเกิดเหตุการณ์ต่อว่าด่าทอจากคนที่เรารัก จนวันนั้นกลายเป็น “นรก” จริงๆ บางทีผลของการเลี้ยงดูในวัยเด็กก็ฝังลึกอยู่ในจิตไร้สำนึกของเราได้ถึงขนาดนี้

ท้าทายยิ่งนักที่เราจะรับได้ว่า “ไอ้สัตว์นรก อมนุษย์” เหล่านั้น เป็น อีกด้านหนึ่งของเราที่เรามองไม่เห็น ไม่กล้ามองเห็น ไม่กล้าเผชิญ เลยได้แต่ลุกขึ้นมาด่าเพลินๆ และเราสามารถบอกให้เขาไปตายซะได้นั้น เพราะเสียงอีกด้านหนึ่งของเราก็กำลังบอกเราว่า เราเป็น “เทพสวรรค์ เป็นมนุษย์เหนือกว่ามนุษย์ใดใด”

เป็นไปได้ไหมว่าเราเองก็เคยกระทำหรืออยากทำการเช่นเดียวกันสัตว์นรกและอมนุษย์เหล่านั้น แต่ทำแล้วเป็นผลร้าย เมื่อมาถึงวันที่เราเจอใครที่ทำอะไรคล้ายๆ ที่เราเคยทำ เราจึงเห็นว่าพวกสัตว์นรกเหล่านั้นไม่มีค่าคู่ควรอยู่คู่กับเรา พวกเขาจึงสมควร “ตาย” และหากตัวเราเองไม่สามารถเป็นเทพสวรรค์ได้เท่าที่ใจเรานึก เราก็ควรตายไปซะเหมือนกัน

เมื่อเราสามารถสาปแช่งให้ใครต่อใครให้ตายได้ เมื่อนั้นก็บอกว่า เรากำลังสาปแช่งตัวเราเอง หรืออย่างน้อยบางด้านของตัวเราเองให้ตกตายตามกันไป เพราะเรากำลังยอมรับว่า เราเองก็ขาดความสามารถที่จะมีชีวิตและลมหายใจอยู่ต่อไปเหมือนกัน

แต่หากท่ามกลางความขัดแย้งที่เรามีในใจอย่างรุนแรงกับใครต่อใคร โดยเฉพาะกับคนที่เราอยากให้เขาดับสูญหรือ ปลาสนาการไปต่อหน้าต่อตา เรามองให้เห็นแววตาของเขา หรือสัมผัสพลังในตัวเขา เราอาจจะเห็น “เงา” ของตัวเรา ที่หายไป และเราสามารถบอกกับตัวเราเองว่า บางครั้งในชีวิต กับผู้คนและสถานการณ์บางสถานการณ์ เราจำเป็นต้องเห็นแก่ตัวของเราเองบ้าง ดูแลตัวเราเองบ้าง รู้จักปฏิเสธคนอื่นบ้าง แม้กระทั่งจะงกบ้าง รวมถึงยืนกรานอย่างหนักแน่นว่า “นี่ของฉัน ไม่ใช่ของเธอ”

และหากเราเพียงวางเฉย หรืออาจจะกล้าหาญให้อภัยเขาได้ เราอาจจะเกลียดศัตรูของเราน้อยลง ให้เขาเป็น “ครู” สอนเราให้เราทำในสิ่งที่เราทำไม่ค่อยจะถนัดนัก เราก็อาจจะรับเงาของเรากลับคืน และให้อภัยตัวเราที่แท้จริง และยอมรับว่า เราก็มีอีกด้านหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถที่จะเป็น “สัตว์นรก หรืออมนุษย์”เหล่านั้นทัดเทียมกันกับเขาเหล่านั้นผู้ที่ถูกเราพิพากษา

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home