โดย วิจักขณ์ พานิช
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

โดยแก่นสาระของการฝึกสมาธิภาวนานั้นไม่มีอะไรมากมาย ขอเพียงผู้ฝึกมีความซื่อตรงและมั่นคงกับประสบการณ์การฝึกของตัวเอง อย่างที่เรียกว่า เรียลลิสติค (realistic) คือ ภาวนาเพื่อการขัดเกลาจิตใจตนเองจริงๆ ไม่ได้มาภาวนาเพื่อได้นั่นได้นี่ เห็นนั่นเห็นนี่

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะหากความทะเยอทะยานยังติดเนื้อติดตัวเรามา การภาวนาก็จะเป็นไปในทิศทางของความทะเยอทะยานนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า “ภาวนา” เป็นคำกลางๆ ที่บ่งบอกถึงการเรียนรู้ใจตน ซึ่งในทางปฏิบัติก็จะแตกต่างกันไปตามอารมณ์ของผู้ฝึก บ้างก็อาจจะมาด้วยอารมณ์หวังผล อารมณ์บรรลุเป้าหมาย อารมณ์อยากได้ความสงบ อยากมีความสุข ยากที่จะหาผู้ที่มาภาวนาเพื่อภาวนา เรียนเพื่อเรียน เปิดใจรับฟังประสบการณ์อย่างปราศจากสัมภาระ อคติ ความคิด ความคาดหวังได้อย่างแท้จริง

อารมณ์ที่ติดตัวผู้ฝึกมา ส่งผลต่อบรรยากาศการฝึกและวิถีการปฏิบัติของเขาผู้นั้นในทุกๆ ลมหายใจเข้าออก และแน่นอนว่าย่อมมีผลโดยตรงต่อประสบการณ์ด้านในที่จะตามมาด้วย ส่วนใหญ่อารมณ์เหล่านี้มักจะถูกขับเคลื่อนด้วยแก่นความเชื่อ (core belief) บางอย่าง ตัวแก่นความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องน่าอายและน่ารังเกียจ ขอแค่ไม่มัวเมาติดดี ติดเพอร์เฟ็คกันอยู่ เพียงแค่ยอมรับและทำความรู้จักกับแก่นความเชื่อเหล่านี้ที่มีอยู่ในตัวเราอย่างซื่อตรง ก็จะทำให้บรรยากาศของการฝึกมีการคลี่คลายและถ่ายเท เกิดเป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ด้านในที่ขยายกว้างออกไปได้

ตัวแก่นความเชื่อที่มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียว หรืออารมณ์เดียวกันด้วยความไม่บังเอิญ จะรวมตัวพัวพันกลายเป็นชุดของความเชื่อ นั่นคือความเชื่อที่อาจเป็นคนละเรื่องแต่ถูกเหนี่ยวนำด้วยแรงบางอย่างที่ส่งผลต่อทิศทางของความเชื่อเหล่านั้นทั้งหมด แรงเหนี่ยวนำนั้นอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กระบวนทัศน์ (paradigm) ซึ่งมันก็เป็นความเชื่ออีกอย่างหนึ่งนั่นเอง แต่อยู่ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น อำนาจมากขึ้น ส่งผลพัวพันกับเรื่องอื่นๆ มากขึ้น

อย่างคนสมัยก่อนเชื่อกันว่าโลกแบน ความเชื่อที่ว่าโลกแบนนั้นมีอำนาจมาก และมีผลกระทบต่อความเชื่อยิบย่อยอื่นๆ อีกมากมาย บ่อยครั้งที่ความเชื่อนั้นยึดถือกันมานมนานจนก่อให้เกิดโครงสร้างและอำนาจต่อรองทางสังคมที่แข็งตัว เกินกว่าที่จะสามารถรองรับสัจธรรมแห่งความตื่น หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากได้ อย่างไรก็ดีความเชื่อที่ว่าโลกแบนก็ได้เปลี่ยนมาเป็นโลกกลมในที่สุด ส่งผลถึงการเปิดกว้างของการรับรู้โลกและธรรมชาติตามที่เป็นจริงอย่างใหญ่หลวง ทั้งนี้ต้องแลกมาด้วยความตายของความเชื่อเก่าๆ มากมายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก่อนจะตายก็ต้องสู้กับแรงต้านและการยื้อยุดกันจนเฮือกสุดท้าย กว่าจะศิโรราบยอมรับ ปรับทัศนคติให้เข้ากับการเรียนรู้ใหม่ที่สอดคล้อง จนนำไปสู่การเปิดตาแห่งปัญญาของมนุษย์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

เรื่องราวของกระบวนทัศน์มีผลต่อการภาวนาอย่างยิ่งยวด เพราะการภาวนา คือ การเดินทางด้านในของปัจเจกบุคคล โดยแต่ละย่างก้าวจะนำพาเราให้เห็นตัวเองและเข้าใจตนเองมากยิ่งขึ้น ไม่ต่างจากการศึกษาที่ดีย่อมทำให้เราเห็นโลกและเข้าใจโลกมากขึ้น ทว่าการภาวนาหรือการเดินทางด้านใน จะคลี่คลายไปตามจังหวะท่วงทำนองและธรรมชาติของการเรียนรู้ด้านในได้นั้น จำเป็นจะต้องหยั่งอยู่บนรากของความเข้าใจและกระบวนทัศน์ที่สอดคล้อง กระบวนทัศน์ที่สามารถรองรับมิติแห่งประสบการณ์ได้อย่างเปิดกว้างไม่มีข้อจำกัด

หากเราดุ่มเดินบนเส้นทางโดยยังแบกเอากระบวนทัศน์ที่เราเคยใช้ได้ในเรื่องหน้าที่การงานหรือความสำเร็จทางธุรกิจมาใช้กับการภาวนา หากเรายังมองการขัดเกลาจิตใจเป็นเหมือนเทคนิคการไต่บันได ๑๖ ขั้น มุ่งหวังเป้าหมายและผลสำเร็จไม่ต่างกับการศึกษาเพื่อใบปริญญา มองหาเกจิอาจารย์ราวกับการช้อปปิ้งในห้างหรู ผลลัพธ์ที่สามารถถูกประเมินเป็นสูตรสำเร็จของการภาวนาคงเป็นได้เพียงวัฒนธรรมของการลอกเลียนมากกว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเอง การภาวนาในแบบนั้นไม่ว่าจะดำเนินไปสักกี่สิบปี ก็มีฐานที่คับแคบและแบนเกินกว่าจะสามารถเปิดให้ใจให้ผู้ฝึกมีความละเอียดอ่อนของการรับรู้จนกลายเป็นปัจเจกบุคคลที่จริงแท้ขึ้นมาได้

คุณค่าทางจิตวิญญาณจะถูกถ่ายทอดออกมาได้ ไม่ใช่ในบรรยากาศของการเรียนรู้แบบบุคคลที่สาม ไม่ใช่ด้วยการวิเคราะห์ พิสูจน์ ประเมิน และให้บทสรุปเชิงประจักษวาท การตีค่า เหมารวม และวิเคราะห์ประสบการณ์ของผู้อื่นอย่างฉาบฉวยเช่นนั้น คงใช้ได้ดีแต่เฉพาะกับโลกระนาบเดียวแบบวัตถุและกลไก กับโลกทางความคิดที่ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีลูกบ้า และความพยศ

สิ่งที่จะสามารถสะท้อนโลกอันรุ่มรวยและกว้างขวางทางจิตวิญญาณออกมาได้ มีเพียงกระบวนทัศน์แบบเรื่องเล่า ตำนานและเรื่องราวอันมีชีวิตที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยหัวใจที่สั่นไหว แววตาที่ฉายประกาย กับเลือดที่สูบฉีดทั่วสรรพางค์ของตัวผู้เล่า ความตื่นตัวที่สะท้อนถึงประสบการณ์ที่มีความหมายต่อบุคคลผู้นั้น ความเป็นเนื้อเป็นตัวที่สามารถถ่ายทอดบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจสื่อสารได้ด้วยคำพูด คุณค่าทางจิตวิญญาณที่งอกงามบนผืนดินอันอุดมสมบูรณ์แห่งประสบการณ์ชีวิตทุกระนาบ เป็นผืนดินที่เปี่ยมด้วยเรื่องราวการเดินทางผ่านฤดูกาล ผ่านทุกข์ ผ่านสุข ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านการเกิดตาย ผืนดินที่เปรียบได้กับความรู้เนื้อรู้ตัวที่ทุกประสบการณ์เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า ความหมาย และแรงบันดาลใจ ติดตรึงในมณฑลของการรับรู้ในเนื้อในตัวอย่างไม่มีวันลบเลือน

และนั่นคืออารมณ์ของการภาวนาที่แท้จริง เป็นการภาวนาอย่างไร้เงื่อนไข ไม่มีเทคนิค ไม่มีเป้าหมาย และไม่มีใครเป็นผู้ชี้แนะแนวทางหรือสั่งสอน เป็นการภาวนาที่ไม่ได้แยกขาดจากชีวิต และเป็นประสบการณ์ของการเป็นคนเดินดินธรรมดาคนหนึ่ง หากวิถีการภาวนาจะเต็มไปด้วยเทคนิคร้อยพัน เทคนิคเหล่านั้นก็คงแค่ช่วยให้เราอยู่กับความรู้เนื้อรู้ตัวได้ดียิ่งขึ้น การภาวนาไม่ได้หยิบยื่นให้เราได้เห็นนั่นเห็นนี่ตามที่ใจปรารถนา ไม่ได้บอกว่าเราควรเป็นอะไร ควรทำอะไร ควรเดินไปทางไหน ไม่ได้บอกแม้กระทั่งว่าอะไรถูก อะไรผิด

หากจะแทนที่ “ภาวนา” ด้วยคำว่า “การศึกษา” ก็คงไม่ได้ทำให้บทความชิ้นนี้มีความหมายต่างไปจากเดิมมากนัก หากหัวใจของการศึกษาคือการเรียนรู้ และการเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ควรแยกขาดจากการเรียนรู้ด้านใน เมื่อการภาวนาคือการเรียนรู้ของใจ เราจึงควรถามตนเองเสมอว่า เรามีทัศนคติและกระบวนทัศน์ต่อการเรียนรู้เช่นไร เป็นการเรียนรู้เพื่อเรียนรู้ หรือเรียนรู้เพื่ออะไร หมั่นใคร่ครวญด้วยความจริงใจเพื่อให้การศึกษาและการภาวนาของเรามีความจริงแท้และซื่อตรงจากภายในในทุกๆ ลมหายใจเข้าออก



โดย เจนจิรา โลชา
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒


ในโลกที่กว้างใหญ่มีความงดงามเกิดขึ้นมากมาย ทั้งตามธรรมชาติ สิ่งสวยงามที่มนุษย์รังสรรค์ขึ้นมา ความงามในจิตใจของมนุษย์ที่มีต่อกัน คงไม่อาจบรรยายได้หมดว่ามีสิ่งใดบ้างที่เป็นความงดงาม สำหรับบางคนแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านบางๆ ตรงหน้าต่างก็เป็นความงดงามที่จับใจ แสงแดดผันเปลี่ยนไปทุกวินาที แสงสวยแตกต่างกันไปในแต่และห้วงขณะ สิ่งที่ดูพื้นๆ ธรรมดาๆ นี่เอง กลับกลายเป็นความงดงามที่เข้ามาชโลมดวงใจ และจะดีสักเพียงใดหากเราลองนำสิ่งที่แฝงซ่อนอยู่ในความงดงามนั้นมาช่วยขัดเกลาจิตใจของเราให้อ่อนโยนลง

ลองให้สิ่งสวยงามที่ดูจะหาได้ง่ายๆ และมีมากหลาย อย่าง “ดอกไม้” ทำให้ความงามมาปรากฏในจิตใจของเราดูบ้าง ลองปล่อยใจไปกับดอกไม้ ลองมาจัดดอกไม้ด้วยกัน เราอาจพบแง่มุมของดอกไม้ที่มีมากกว่าความงามก็เป็นไปได้

หลายคนอาจจะเคยยืนชมดอกไม้เพียงผิวเผิน มองดูอยู่ห่างๆ ลองมาชื่นชมดอกไม้ใกล้ๆ ด้วยสายตาคู่เดิมที่มีมุมมองใหม่ๆ บางคนอาจจะเคยจัดดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นจัดแจกันดอกไม้ถวายพระพุทธรูป แจกันตั้งโต๊ะที่ทำงาน ลองมาจัดดอกไม้ด้วยมือคู่เดิมที่เชื่อมโยงสัมผัสมาจากหัวใจ ไม่ใช่เพียงแค่จากความคิด เราจะพบว่าความงามของดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้า เกิดขึ้นมาจากใจของเรานั่นเอง

ดอกไม้แต่ละชนิดล้วนแตกต่างกัน แม้จะเป็นพันธุ์เดียวกันแต่ละดอกก็มีความแตกต่างกัน มีความเฉพาะ เป็นตัวของตัวเอง เขาจะออกดอก ผลิบาน หรือโรยราลงเมื่อใด เราไม่อาจจะไปบังคับหรือฝืนใจเขาได้ ดอกไม้จะมีสีหรือกลิ่นอย่างไรเราไม่อาจคาดเดาได้ และความเป็นดอกไม้เช่นนี้เองที่ดึงดูดใจให้เราลองเข้าไปสัมผัสกับดอกไม้อย่างใกล้ชิด ไม่ใช่การสัมผัสผ่านความคิด สัมผัสดอกไม้ในมุมที่ไม่เคยสัมผัส ดูดอกไม้อย่างละเอียดลอออย่างที่ไม่เคยคิดจะดู ผิวก้านนั้นเรียบ หยาบ ขรุขระ หรือมีหนามแหลม สีกลีบดอก กลีบเลี้ยงและใบ ลักษณะของดอกเป็นช่อ เป็นพวง หรือเป็นดอกเดี่ยว ดอกเกิดจากส่วนไหนของกิ่งก้าน ดูดอกไม้ในมุม ๓๖๐ องศา มุมไหนกันที่ดอกไม้สวยที่สุด

หลายครั้งที่เรามักจะคิดว่าดอกไม้ควรมีสีอย่างนี้ ขนาดเท่านั้น ใบควรสั้นกว่านี้ กลิ่นน่าจะเป็นแบบนั้น เราต้องการให้ดอกไม้เป็นดั่งใจที่เราต้องการ การที่เราอยู่กับดอกไม้ พิจารณาตามที่เขาเป็นจะทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของเขา ยอมรับและไม่บังคับฝืนใจเขา แล้วเราจะค้นพบว่าอย่างไรดอกไม้ก็สวยและงดงามตามธรรมชาติของเขา

เราเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ ที่ไม่อาจทัดทานความงดงามตามธรรมชาติของดอกไม้ด้วยการดัดแปลงเสริมแต่งหรือบังคับเขาได้เลยแม้แต่น้อย หน้าที่ของเรามีเพียงการทำให้ความงามปรากฏตามที่เขาเป็น ให้ส่วนสวยที่สุดแสดงออกมาให้คนอื่นได้รับรู้เท่านั้น และเมื่อเราสัมผัสกับดอกไม้อย่างใกล้ชิดด้วยหัวใจเช่นนี้ ความอ่อนโยนได้เกิดขึ้นภายในใจของเราอย่างเงียบๆ เราจะลูบไล้เขาด้วยมือที่แสนเบาและด้วยสายตาที่แสนอ่อนโยน จะดอมดมดอกไม้เหมือนดั่งกับว่าจะไม่มีโอกาสได้สูดกลิ่นหอมเช่นนี้อีกครั้ง ความอ่อนโยนของดอกไม้ถ่ายผ่านมาสู่ตัวเรา หากเราเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวเราจะพบว่า ลมหายใจของเราจะละเอียดอ่อน เบา ร่างกายจะเคลื่อนไหวอย่างเนิบช้า เต็มไปด้วยการมีสติ ความมหัศจรรย์เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกคล้ายกับว่าเราสื่อสารกับดอกไม้ได้ เราเข้าใจกันและกัน

เมื่อเราดำรงอยู่กับดอกไม้อย่างที่เขาเป็น ยามที่เราจะนำดอกไม้ไปจัดในแจกันนั้น จะทำให้เราสามารถดึงเอาความสวยงามของเขาออกมาแสดงให้เห็นได้ในมุมที่เขาสวยที่สุด เราจะจัดวางเขาได้อย่างง่ายดายและเหมาะเจาะ คล้ายกับทั้งคู่รู้ดีว่าตรงไหนเป็นที่ที่เหมาะกับเขาที่สุด และจะเป็นแจกันดอกไม้ที่สวยงาม งามในสายตา งามจากหัวใจของเราเอง

แม้เราจะรู้ถึงธรรมชาติและสัมผัสกับดอกไม้ด้วยหัวใจเพียงใด แต่กระนั้น บ่อยครั้งที่เราจัดวางดอกไม้ลงไป ดอกไม้ก็มักจะเอียงซ้าย เอนขวา หมุนไปมา คว่ำหน้า โงนเงนไปข้างหลังบ้าง ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง ไม่เป็นดั่งใจที่เราวางไว้ เพราะสิ่งที่ดอกไม้เป็นมักจะขัดกับใจของเรา เพราะดอกไม้ขัดใจเรา ดอกไม้จึงมาช่วยจัดใจของเรา ให้เราได้เปิดใจกว้างยอมรับ ไม่บังคับดอกไม้ให้เป็นดั่งใจปรารถนา

สิ่งที่เราจะทำได้คือ ทำความรู้จักและอ่อนโยนกับดอกไม้เพิ่มมากขึ้น ลองหยิบดอกไม้ออกมามองและพิจารณาอีกครั้ง วางดอกไม้ในแจกันด้วยใจที่ปล่อยวาง ไม่คาดหวังว่าจะต้องสวยอย่างที่ใจเราต้องการ เพียงแค่ให้ดอกไม้สวยตามที่ดอกไม้เป็น เพิ่มความอ่อนโยนและวางใจในตัวเองและดอกไม้มากขึ้น ปล่อยใจดอกไม้ขัด (เกลา) ใจของเรา ให้ความสวยงามของดอกไม้โบยตีตัวตนที่เต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างใจของเรา ให้ความอ่อนโยนของดอกไม้มาฝึกให้เราอ่อนโยนกับตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น และให้ความเป็นตัวของตัวเองของดอกไม้มาสอนให้เราได้รู้จักตัวเราในแบบของเรา เราจะมองเห็นความเป็นตัวตนของเราผ่านการจัดดอกไม้ หากเราจัดดอกไม้ด้วยหัวใจ และเฝ้าสังเกตตัวเอง เราจะรู้ได้ว่า ดอกไม้ได้ขัด (เกลา) ใจของเราแล้ว

การสัมผัสรับรู้ดอกไม้ตามที่เป็นจะนำมาซึ่งความเข้าใจ การยอมรับกันและกันอย่างไม่มีเงื่อนไข จนเรากลายเป็นหนึ่งเดียวกับดอกไม้ เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เรากำลังทำ แล้วเราจะมองเห็นความงามของดอกไม้ที่มีอยู่ในทุกขณะ จะพบว่าดอกไม้อยู่ตรงไหนก็สวย เพราะความงามนั้นเกิดขึ้นจากใจ แม้ดอกตูมที่เราชื่นชอบ เมื่อเริ่มบานก็ยังคงความงามอยู่ ที่สำคัญการจัดดอกไม้ด้วยหัวใจเช่นนี้ทำให้สถานที่ที่เราจัดวางแจกันเกิดความงามขึ้นมาในทันใด ผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาก็จะรับรู้ได้ถึงความสวยงามของดอกไม้ ความใส่ใจและความอ่อนโยนที่เรามีต่อดอกไม้ ความสวยงามนี้จะเป็นตัวเชื่อมผ่านความงามเข้าสู่ใจของผู้คนที่พบเห็น ความงามถูกส่งผ่านไปยังอีกคนและอีกคน คล้ายกับดอกไม้มีมนตราวิเศษ ไม่ได้มีเพียงแค่ความสวยงาม แต่มีความอ่อนละมุนและแข็งแกร่งในตัว อ่อนน้อมแต่ก็เป็นตัวของตัวเอง ดอกไม้จึงขัดใจเราด้วยความอ่อนโยน ชโลมหัวใจเราด้วยความสวย นี่แหละ คือ พรอันวิเศษของดอกไม้ที่มีให้แก่เรา

เมื่อเราได้รับการขัดใจจากดอกไม้ เราจะเริ่มเห็นความงดงามของแจกัน สถานที่จัด และรู้สึกว่าทุกสิ่งที่ดำเนินอยู่ทุกขณะเวลาเป็นสิ่งสวยงาม แม้แต่ป้ายรถประจำทาง หรือสองข้างทางที่ร้อนระอุ ก็ปรากฏความงามของดอกตะแบกบานที่พลิ้วไหวตามแรงลมพัดพา เราจะเริ่มชื่นชมดอกไม้เล็กๆ ริมทาง เราจะลดการตัดสินว่าดอกนี้สวย ดอกนั้นไม่สวย เราจะไม่ตำหนิคนอื่นว่าเขาไม่คู่ควรกับการจัดดอกไม้ และหากเราอยู่กับสิ่งที่ทำด้วยหัวใจ สัมผัสและเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น เราจะแลเห็นความงดงามของสิ่งที่อยู่รายล้อม ไม่ว่าผู้คน สิ่งของ หรือแม้อากาศที่ผันแปร แสงแดด สายลม ละอองฝน ทุกอย่างดูจะสวยงามและสามารถนำความเป็นไปของทุกสิ่ง มาขัดเกลาจิตใจของเราได้ ใช้ทุกสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างใจมาใช้ฝึกความวางใจและอ่อนโยนกับตัวของเราเองและกับทุกสิ่ง

ขอบคุณทุกความงามที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ ขอบคุณดอกไม้ที่เป็นหนึ่งในความงดงามนั้น ขอบคุณที่มาขัดใจ จนการเป็นการจัดใจของเราให้รับรู้ทุกอย่างตามที่เป็นจริงมากขึ้น ขอบคุณทุกหัวใจที่ยอมให้ดอกไม้ขัดใจ จนเกิดเป็นความงามในหัวใจของมวลมนุษย์

ปล่อยให้สิ่งต่างๆ มาขัดใจเราบ้างนะคะ เราอาจพบว่าแท้ที่จริง ใจเรานั่นเองที่งดงามเหลือเกิน



โดย กฤตยา ศรีสรรพกิจ
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒


ด้วยความที่เป็นคนสายตาสั้นตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้สั้นมากจนถ้าขาดแว่นก็จะเห็นชัดเพียงไม่เกินช่วงแขนตัวเองเท่านั้น เมื่อเริ่มเกิดอาการมึนๆ เวียนหัวบ่อยๆ จึงมักสงสัยว่าอาจเพราะแว่นที่ใส่อยู่เริ่มไม่พอดีกับสายตาแล้ว เมื่อไปตรวจวัดดูก็เป็นดังคาด สายตาสั้นเพิ่มขึ้นอีกนิด เอียงเพิ่มอีกหน่อย ได้โอกาสตัดแว่นตาใหม่อีกครั้ง คนที่ร้านชี้ให้เห็นว่าแว่นเดิมของเรามีรอยขีดข่วนเยอะและน่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง แว่นใหม่ทำให้เห็นโลกคมชัดขึ้นมาก แต่ด้วยความยังไม่ชินก็ทำให้เวียนหัวขึ้นด้วยในช่วงแรก

แว่นตาก็เหมือนกับความคิด ความเชื่อ ประสบการณ์ต่างๆ ของเราที่เป็นกรอบเป็นตัวกรองในการมองโลก เป็นไปได้ยากมากที่จะบอกว่าเรามองโลกอย่างไม่ตัดสินได้จริงๆ และการตัดสินก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไร กลับเป็นสิ่งมีค่าที่ทำให้เราได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นและเป็นหน้าต่างพาเข้าไปสู่ความต้องการที่แท้จริงของตัวเราได้ นานๆ ทีก็น่าจะได้ลองถอดแว่นตาออกมาดูว่ามันหน้าตาเป็นยังไง มีรอยขีดข่วนอะไรที่เป็นอุปสรรคต่อการรับรู้โลกที่เป็นจริงหรือไม่ และแว่นที่เราใส่เหมาะสมกับตัวเราและการมองโลกของเรา ณ ปัจจุบันนี้แค่ไหน

การตกหลุมรักก็เป็นเหมือนแว่นตาอีกแบบหนึ่งที่มีพลังมหาศาล ทำให้เราเห็นคนบางคนได้ชัดเจนขึ้นอย่างประหลาด เฮเลน ฟิชเชอร์ นักจิตวิทยาผู้ศึกษาเรื่องราวของความรักมาหลายสิบปีบอกว่า เมื่อเรามีความรัก เขาคนนั้นและสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเขาจะมีความหมายใหม่ขึ้นมา ผ้าพันคอหรือแม้แต่แก้วน้ำของเขามีความพิเศษกว่าผ้าผืนอื่นหรือแก้วน้ำใบอื่น โลกเปลี่ยนมาหมุนรอบตัวคนๆ นี้ เหมือนเราใส่แว่นที่ขยายทุกๆ อย่างเกี่ยวกับเขาคนนี้ให้ชัดขึ้น ขณะเดียวกันกลับทำให้สิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้พร่ามัวไป

อีกแง่มุมของความรักที่เฮเลนกล่าวถึงมาจากการศึกษาคลื่นสมองของคนที่กำลังมีความรัก ล้วนสิ่งที่เหมือนกันของรักทั้งที่สมหวังและไม่สมหวังก็คือ อาการตกหลุมรักเป็นอาการเดียวกับการเสพสารเสพติด คือมีความต้องการอย่างรุนแรง มีอารมณ์อ่อนไหวอย่างมากต่อคนๆ นั้น มีความรู้สึกพึ่งพิง และยากมากที่จะควบคุมตัวเองได้ ผู้เขียนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความรู้ใหม่เลย แต่เป็นสิ่งที่เราหลายคนคงเคยสัมผัสมาแล้ว ความรักที่มีพลังงานมหาศาลเพียงพอจะหมุนหรือหยุดโลกได้ล้วนเป็นเรื่องที่มีการกล่าวถึงอย่างไม่รู้เบื่อในทุกวัฒนธรรมตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงทุกวันนี้ และดูเหมือนคนเราส่วนใหญ่ไม่เคยเบื่อหรือเลิกตกหลุมรักได้เลย

อีกมุมมองหนึ่งของความรักจากเพลโตนักปราชญ์ยุคบุกเบิกที่รู้จักกันต่อมาในนิยามของความรักแบบพลาโทนิค (Platonic Love) คือ ความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งทางจิตวิญญาณระหว่างคนสองคน ที่นำพาให้คนทั้งคู่เข้าถึงความงามและความจริงได้ ความงามที่เรามองเห็นในคนรักจะเป็นแรงบันดาลใจและช่วยให้มีเรามีความสามารถในการมองเห็นความงามในสิ่งอื่นๆ ด้วย ไปจนถึงการเห็นคุณค่าของความงามตามที่เป็นอยู่จริง ซึ่งไม่ได้แยกส่วนและไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ไปจนถึงความรักต่อพระเจ้าที่เป็นต้นธารของความงามทั้งปวง

การตกหลุมรักจึงเป็นทั้งแรงบันดาลใจและความท้าทายในการขยายศักยภาพพิเศษนี้ ที่เป็นทั้งพลังทำให้เราไร้ความสามารถในการควบคุมตัวเอง และสามารถเป็นเหมือนพาหนะนำพาให้เราเดินทางไปสู่อีกพื้นที่หนึ่งกับเปิดการรับรู้ที่ลุ่มลึกขึ้นได้

ความรักยังนำพาความรู้สึกเป็นเจ้าของ ความริษยา ความร้อนรนเมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง ไปจนถึงความอาฆาตแค้น ที่ทำให้คนกระทำสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่คาดฝันได้ ความรักมีพลังสร้างสรรค์ และพลังแห่งการทำลายล้างที่รุนแรงไม่แพ้กัน

ทำให้กลับมาสงสัยว่า ความรักที่มีทั้งสุขเหลือล้นและทุกข์ที่ยากจะทานทนนี้น่าจะสามารถเป็นวิถีทางของการเติบโตทางจิตวิญญาณได้ สภาวะของอารมณ์ที่แปรปรวนอย่างรุนแรง ถ้าตามรู้ได้ก็จะเป็นโอกาสในการเรียนรู้ภายในอย่างลึกซึ้ง ได้เห็นตัวเองในสภาวะต่างๆ ที่ขึ้นและลง เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว ได้เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว รับรู้ถึงความไม่เที่ยงของทุกอย่าง ความรู้สึกที่เคยลึกซึ้ง มั่นคง ก็สามารถแปรเปลี่ยนไปได้ ไม่มีอะไรแน่นอน ยั่งยืน และยังความสั่นไหว ความเปราะบางของจิตใจที่เผยออกมาอย่างยากที่จะขัดขืน หากเรากล้าและมีพลังพอที่จะเฝ้ามองปรากฏการณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้นภายใน การตกหลุมรักก็จะเป็นการเดินทางที่ทำให้เราเติบโตภายในได้อย่างรวดเร็วมาก

ความรักช่วยให้เรามีมุมมองของความงาม มองเห็นคุณค่าของคนๆ หนึ่งและสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับเขาได้อย่างลึกซึ้ง ถ้าเราสามารถขยายมุมมองนี้ ขยายความอ่อนโยนความใส่ใจ ใช้แว่นอันเดียวกันนี้มองโลกทั้งใบในแบบเดียวกันนี้ ... เห็นความงามทั้งปวงจากทุกสิ่งและทุกคน มันจะน่ามหัศจรรย์แค่ไหน แต่ก็พึงระวังไว้ด้วยว่ามุมมองขยายนี้ก็มักจะมาพร้อมความลำเอียง เพราะเมื่อเริ่มรักก็มักจะมองเห็นคนนั้นดีไปหมด จนมองข้ามบางมุมไป เหมือนคนตาบอดสีที่เห็นบางสีคลาดเคลื่อน และบางสีเราก็มองไม่เห็นไปเลย การมองเห็นคนที่เรารักอย่างที่เขาเป็นจริงทั้งหมด ทั้งในแง่มุมที่งดงามและมุมที่ไม่น่ารักเท่าไหร่ สามารถเห็นแง่งามจากการเป็นตัวตนที่แท้จริงทั้งหมดของเขาและยังรักเขาได้ นั่นจึงจะเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขอย่างแท้จริง

ความรักยังทำให้เราทำในสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้ เข้าถึงความรู้สึกแบบที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ในตัว เปิดให้เห็นศักยภาพภายในที่ไม่เคยคิดว่ามี ขยายพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ของตัวเราอย่างไร้ที่สิ้นสุด

หลายคนพูดถึงการพบเจอคนที่รู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่แรกเห็น เหมือนรู้จักกันมาก่อน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และน่าประหลาดที่คนสองคนสามารถมีช่องสัญญาณพิเศษที่เชื่อมต่อกันได้จนเส้นแบ่งระหว่างคนแทบจะจางหายไป ความรู้สึกที่ไร้การแบ่งแยกระหว่างตัวเรากับคนอื่น

ความรักจึงเป็นเหมือนการเดินบนคมมีด ทั้งท้าทายและน่าตื่นเต้น หากพลั้งเผลอแม้เพียงนิดก็ทำร้ายทั้งตัวเองและผู้อื่นอย่างมากมายจนอาจจะเกินเยียวยาได้เช่นกัน เป็นบททดสอบที่ท้าทายพลังแห่งสติของนักเดินทางผู้นั้นอย่างถึงที่สุด

ความรักจึงเป็นทั้งโจทย์ที่ทรงพลังในการนำพาไปสู่การเข้าใจตัวเอง เข้าถึงความสุข ความงาม และความจริงได้ ... หากเรามีพลังแห่งสติและความมุ่งมั่นในการเดินทางสู่การตื่นรู้

การตกหลุมรักเป็นการท้าทาย เรียกร้องทั้งความกล้าหาญ และความอ่อนน้อม ศิโรราบ เพราะในการเดินทางนี้ พลังนี้อาจจะเป็นสิ่งที่คุณควบคุมได้ หรืออาจโดนควบคุมอย่างเกินความสามารถที่จะขัดขืน

และสุดท้าย ... ไม่ว่าจะวิเคราะห์อย่างไร เรื่องของใจก็น่าจะต้องใช้ใจนำทาง ด้วยความเชื่อมั่น ศรัทธาและไว้วางใจในศักยภาพภายของคนเราในการรัก และได้รับความรักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และแม้จะเจ็บปวดเพียงใดคนเราก็ยังคงเลือก ... ที่จะรัก



โดย ชลลดา ทองทวี
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒


วันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่เพื่อนบางคนบอกเล่าให้ฟังถึงความสุขภายในที่น่าอิจฉา เรื่องราวของการได้พักผ่อนอย่างสงบเรียบง่าย หรือปฏิบัติภาวนากับครอบครัว เป็นความสุขที่หลายคนรวมทั้งตัวผู้เขียนเองโหยหาจะได้พบเจอในช่วงวันหยุด ซึ่งน่าจะเป็นช่วงพักจากความวุ่นวายโกลาหลของสังคมปัจจุบันที่เราต้องเผชิญกันทุกเมื่อเชื่อวันมาตลอดทั้งปี

บังเอิญที่บ้านคุณแม่ของผู้เขียนเป็นบ้านไร่บนภูเขาในอำเภอเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงปีใหม่ รถราจึงวิ่งกันขวักไขว่เต็มถนน ร้านกาแฟเล็กๆ ตามปรกติเป็นมุมสงบที่ผู้เขียนโปรดปรานกลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมาถ่ายรูป เก็บภาพวิวภูเขาและดอกไม้สวยงามซึ่งเป็นจุดเด่นของร้าน

เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้บ้านซึ่งคุ้นเคยกันดี ไม่มีเวลากระทั่งจะยิ้มทักทายกัน “ไม่ได้นั่งเลยมาตั้งแต่เช้า เป็นอย่างนี้มาสามวันแล้ว” คุณป้าเจ้าของร้านบอก เลยไม่แน่ใจว่าจะดีใจด้วยดีไหมที่ขายดี ทุกคนในร้านดูวุ่นวายและเครียดจนเกินขอบเขตของคำว่าความสบายๆ ผ่อนคลาย และความสุขใจ ไปเยอะทีเดียว

คุณแม่ฝากไปซื้อปลาทูให้แมวที่ตลาดสดเล็กๆ ในตัวอำเภอ แต่งานเทศกาลฤดูหนาวในที่ว่าการอำเภอข้างตลาดสดมีผู้คนมาเที่ยวกันคับคั่งเสียจนต้องจอดรถห่างตลาดเกือบกิโลเมตร กว่าจะหอบถุงปลาทูถึงรถได้ เล่นเอาหอบแดดและกล้ามขึ้นกันทีเดียว คนเยอะจนดูจะเกินสนุก ผู้เขียนไม่ค่อยแน่ใจว่านักท่องเที่ยวที่มาจะเห็นอำเภอกลางหุบเขาแห่งนี้สวยงามอย่างที่เคยฝันไว้หรือไม่

วันปีใหม่เป็นวันรวมญาติของที่บ้าน เพราะพี่และน้องต่างก็มีงานยุ่งกันตลอดปี ไม่มีเวลาได้หยุดมาพบเจอกันเลย แต่ละคนจึงจัดกระเป๋าพาครอบครัวมากราบคุณแม่เพื่ออวยพรปีใหม่และรับพรจากท่านด้วย บ้านไร่เต็มไปด้วยเสียงของเด็กๆ และการพูดคุยกันตลอดเวลา จนบางขณะโสตประสาทแทบไม่ได้พักผ่อนเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนพลันตระหนักและสัมผัสได้ว่าท่ามกลางความโกลาหลของทุกชีวิตรอบตัวในช่วงปีใหม่นี้ ยังมีความปรารถนาดีของผู้คนแฝงอยู่ด้วย ต่างคนต่างก็อยากมอบความสุขให้แก่กันและกันและให้แก่ตัวเอง ด้วยการพาครอบครัวมาท่องเที่ยวหรือเยี่ยมญาติมิตร จึงต้องเดินทางกันมาไกลกันขนาดนี้ การสัมผัสได้ถึงความงดงามของความพยายามของผู้คนที่อยากมีความสุข ทำให้ผู้เขียนสามารถอดทนต่อเสียงและความแออัดวุ่นวายของสรรพสิ่งรอบตัวได้มากขึ้นมาก

บางขณะกลับเห็นความรู้สึกตัวเองว่าไม่วายอยากพักผ่อนภายใน อยากนั่งสมาธิเงียบๆ บ้าง เพื่อหาความสงบสุข ยิ่งได้ฟังเพื่อนเล่าว่าได้นั่งสมาธิข้ามปีในช่วงนับถอยหลังขึ้นปีใหม่ ยิ่งรู้สึกปรารถนาได้มีโอกาสทำเช่นนั้นบ้างในเทศกาลนี้ แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี

ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ที่บ้านเริ่มคลี่คลายลง พี่และน้องรวมทั้งครอบครัวกลับไปแล้ว งานเทศกาลฤดูหนาวที่อำเภอจบลง และผู้คนทยอยกันเดินทางจากไป เสียงรถราที่วิ่งเต็มถนนราวกับอยู่กลางเมืองหลวง เงียบซาลง สิ่งแรกๆ ที่ผู้เขียนทำคือการเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตูลงและเตรียมตัวนั่งสมาธิ

แต่เมื่อมองลงไปที่เท้าก็เห็นตัวอะไรดำๆ เกาะอยู่ที่ถุงเท้าขาวที่ใส่อยู่ เอามือไปจับดู มันก็กระโดดไปที่อื่น พิจารณาดูให้ดีก็จำได้ว่าเป็นสัตว์ที่คุ้นเคยซึ่งปรกติจะมีมากในหน้าฝน หมัดของหมาๆ ทั้งหลายเริ่มระบาดอีกแล้ว

ผู้เขียนจับหมัดออกจากถุงเท้า ไล่มองดูตามเตียงที่จะนั่งสมาธิ เมื่อเห็นว่าไม่มีอยู่บนเตียงแน่แล้ว ก็เอาขาขึ้นมาขัดสมาธิ ถึงอย่างไรก็จะยังไม่ละความตั้งใจที่จะปฏิบัติภาวนาสักนิดในวันนี้

แต่เมื่อหลับตาลง ใจก็ยังไม่วายผวาไปทุกครั้งที่รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างขยับเคลื่อนไหวอยู่แถวขาหรือเนื้อตัว ในสภาวะที่จิตหมกมุ่นกังวลอยู่กับร่างกาย มันก็ยากที่จะสงบลงได้

ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวราวกับนั่งอยู่ในช่องแข็งตู้เย็น ท้ายที่สุด ผู้เขียนก็เลยล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าทางใจเป็นที่สุด แต่ด้วยความหนาวเย็นต่ำกว่าสิบองศาเซลเซียสทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายจนถึงเช้า

ตลอดทั้งวันต่อมาก็ยังรู้สึกไม่วางใจกับหมัด ต้องใส่รองเท้าบูทยางเดินในบ้าน และก็พบว่าหมัดรุ่นนี้ ไม่ค่อยขยันกระโดดเท่าไร ถ้ากระโดดครั้งแรก ไม่เจอสิ่งที่กินได้ ก็จะไม่ขยับตัวเอาเสียเลย การนั่งอยู่บนเก้าอี้หรือบนเตียง หรือเดินไปเดินมาด้วยรองเท้าบูท จึงยังปลอดภัย

คืนนั้น ผู้เขียนจึงได้หลับตาลงนั่งสมาธิด้วยความรู้สึกสงบขึ้น ความเหนื่อยล้าทางใจและกายจนถึงที่สุดทำให้จิตเข้าสู่สภาวะที่เป็นสมาธิได้โดยง่าย และดูจะไม่ยอมกลับมาจากสภาวะนั้น เพิ่งจะเข้าใจว่าเมื่อถึงที่สุดแล้วจิตมันก็ไม่เอาอะไรกับโลกอีกต่อไปได้เองด้วยเหมือนกัน

ความทุกข์ที่ต่อเนื่องก็เป็นเหตุให้ได้เรียนรู้เข้าใจจิตของตัวเองว่า มันสงบลงได้เองโดยไม่ต้องพยายาม ความสงบภายในเกิดขึ้นเองเมื่อจิตเลิกดิ้นรนใดๆ โดยสิ้นเชิงด้วยตัวของมันเอง

ทำไมเราต้องรอให้โลกสงบลงเสียก่อนเพื่อที่จะมีความสงบใจ เพราะความสงบใจนั้นเป็นของขวัญที่ตัวเราให้ สำหรับหัวใจของเราเองได้ เราไม่ต้องผัดผ่อนเวลาที่จะมีความสุขสงบภายในนั้นออกไปเพียงเพราะโลกภายนอกนั้นไม่เอื้ออำนวย

เมื่อหัวใจของเราทุกข์ยากเหลือเกิน เพราะเสียงวุ่นวายโกลาหล เพราะหมัดกระโดดไปมาน่าหวาดผวา หรือจะเพราะความไม่สงบรอบตัวประการหนึ่งประการใด สิ่งที่เราต้องการที่สุดไม่ใช่การไปดิ้นรนทุกข์ทรมานกับมันต่อไปอย่างไม่รู้จบ ดุจดังไส้เดือนที่ดิ้นทุรนทุรายในกองขี้เถ้าร้อน แต่อาจจะเป็นการหยุดดิ้นรนและนั่งสงบลง แล้วให้ของขวัญที่ตัวเองต้องการคือการหยุดพักลงเสีย

การหยุดที่สำคัญที่สุด คือที่หัวใจตัวเอง เพราะมันใกล้กับความทุกข์ของเราที่สุด

ผู้เขียนยอมจำนนว่าตัวเองไม่ได้มีวันหยุดปีใหม่ที่สวยงามและสงบเบาสบายเหมือนเพื่อน แต่ในท่ามกลางความเหนื่อยยากย่ำแย่เหล่านั้น การได้มาใช้เวลาอยู่กับคุณแม่และครอบครัว และได้เรียนรู้บทเรียนบางอย่างที่สำคัญเกี่ยวกับจิตใจตัวเองก็ทำให้วันปีใหม่นี้เป็นดั่งของขวัญล้ำค่าเกินบรรยายยิ่งนักในตัวมันเองเช่นกัน

Newer Posts Older Posts Home