โดย ธนัญธร เปรมใจชื่น
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒


สามวันสุดท้ายของมีนาคมที่ผ่านมานี้ ฉันมีโอกาสได้พักผ่อนริมทะเลแถวสัตหีบกับเจ็ดสาวหนุ่มผู้แสวงหาวิถีแห่งการเติบโตทางจิตวิญญาณ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เรียนปริญญาโท สาขาจิตตปัญญาศึกษาฯ ม.มหิดลนั่นเอง แล้วก็มีคณะวิทยาศาสตร์จากสถาบันเดียวกันหนึ่งคน กับสาวสวยอีกคนที่เลือกจะยังไม่เรียนในระบบ แต่ออกแสวงหาครูทางจิตวิญญาณสลับกับการเรียนรู้และค้นหาด้วยตนเองแทน ล้วนเป็นเจ็ดคนที่เหมือนจะคล้ายแต่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การใช้เวลากับทั้งเจ็ดคนนี้อย่างใกล้ชิดจึงเป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากสำหรับตัวฉัน

มันน่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่คนประสานงานโทรมาติดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกรงใจ ถ่อมตน และชื่นชมอยู่ไม่ขาดปาก ประมาณว่าพวกเขาจะร่วมกันทำค่ายพัฒนาด้านในให้น้องๆ เยาวชน แต่ด้วยความที่ยังไม่มีประสบการณ์บวกกับอยากเรียนจากฉันซึ่งทำกระบวนการเหล่านี้เป็นอาชีพและเชี่ยวชาญด้านเยาวชน จึงอยากเชิญให้ฉันมาเป็นพี่เลี้ยงอีกทอดหนึ่ง ไอ้คำว่า “มืออาชีพ” และ “ผู้เชี่ยวชาญ” นี่แหละที่ทำให้เดินสะดุด ก้าวไม่ข้ามเสียที นี่ขนาดพูดออกตัวทั้งกับคู่สนทนาและตัวเองก่อนด้วยนะว่าฉันไม่อยากถูกเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญเลย เพราะพอได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นเมื่อไร ดูเหมือนจะกลายเป็นคนที่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ในเรื่องเดียวกันได้ยากกว่าผู้อื่น เพราะมีบทสรุปการพิสูจน์แล้ว ดีแล้ว สุดยอดแล้ว ซึ่งหลอกตัวเองเปล่าๆ ในเมื่อมันไม่มีหรอก “ที่สุด” น่ะ เราคิดกันเอาเองทั้งนั้น หรือบางทีมันอาจเป็นที่สุดสำหรับเราจริงในวันนี้ แต่ก็มิได้หมายความว่ามันยังเป็นเช่นนั้นในวันพรุ่ง และในอีกหลายๆ วันในชีวิตของเรา

พอเจอกันวันแรกดูเหมือนการแต่งตัวรับลมทะเลด้วยสายเดี่ยวของฉันจะทำให้พวกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ฉันเองก็รับรู้ถึงความตึงที่หน้าตัวเองขึ้นมาเช่นกัน อยู่ๆ ก็รู้สึกอายและคิดใคร่ครวญถึงความเหมาะสมของตน เพราะมันสบายจนไม่ได้คิดเรื่องภาพลักษณ์เลย แต่มันก็เป็นบทเรียนเล็กๆ ร่วมกันของเราหลังจากนั้น เพราะการสนทนาพาให้เรามาถึงเรื่องที่ว่า ความคิดความรู้สึกของเราที่มีต่อคนๆ หนึ่ง มันมีผลทำให้เขาคิดและรู้สึกต่อเราเช่นนั้นด้วย

การมาเที่ยวด้วยกันคราวนี้เป็นเหมือนการเตรียมความพร้อมของทีม และทีมที่พร้อมในความคิดเราก็น่าจะเป็นทีมที่รับรู้กันและกัน ไม่ได้มีกระบวนการอะไรมากนัก แต่การสนทนาแต่ละช่วงนั้นเข้มข้นเหลือเกิน

โดยเฉพาะในคืนสุดท้าย ฉันชวนพวกเขามานั่งล้อมวงนินทาเพื่อน ตามแบบที่เคยเข้าอบรมศิลปะบำบัดของครูยาค็อบ ชาวอิสราเอล คือ การนั่งล้อมวงเข้าหากัน ใครคนหนึ่งในวงจะอาสานั่งหันหลังให้วง ส่วนเพื่อนๆ ที่เหลือก็ทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ แล้วช่วยกันพูดถึงเขา ทั้งนี้ ก่อนเริ่มกิจกรรมเรานั่งสงบร่วมกัน ฉันช่วยนำพาให้หัวใจแต่ละดวงเปิดใจรับ ... ของขวัญแห่งมิตร ... ในขณะที่เราพร้อม แต่ละคนดูมีประกายของผู้เปิดรับอย่างเต็มเปี่ยม แต่สิ่งที่ยากคือ การรับคำชม มากกว่าการถูกตำหนิ เสนอแนะ ซึ่งเอาเข้าจริงก็แทบไม่มีใครพูดถึงเพื่อนในด้านไม่ดีเลย ถึงมีก็ดูสุภาพมากๆ สักพักก็เริ่มคม ชัดเจน ห่วง กังวล ไหลปะปนมาให้ได้รับฟัง

พอทุกคนได้หมุนวนสลับกันเป็นคนนั่งหันหลังจนเสร็จครบ รวมทั้งฉันด้วยแล้ว ฉันจึงลองแย้มถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง หลายคนรู้สึกว่าได้รับของขวัญจริงๆ บ้างรู้สึกค้าน บ้างเริ่มตัดพ้อ จริงๆ มันก็เป็นธรรมดามาก ที่เราจะรับกับตัวเองได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ในด้านต่างจากที่เคยเชื่อและมีข้อสรุปต่อตัวเองมา น้องคนหนึ่งบอกกับวงว่า เขาปฏิบัติมาเยอะมาก นานมาก อาจมากกว่าเพื่อนหลายคนในนี้ จนเชื่อว่าตนงดงามแล้ว แต่เมื่อได้ฟังจากเพื่อนที่มองมาที่ตนเองแล้ว ทำให้บอกกับตัวเองว่ายังไม่พอ ฉันเลยบอกกับน้องสาวคนนี้ว่า สำหรับการฝึกตนอาจจะไม่มีคำว่า “พอ” ดูอย่างนักบวชสิ แม้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว บางท่านเพียงห่างหายการบำเพ็ญไปบ้างก็อาจทำให้พลั้งพลาดไปก็มี และเรื่องเชิงจิตวิญญาณนี่ เราอาจต้องเอาความคิดแบบปริมาณโยนค้างไว้ก่อนก็เป็นได้ มันอาจไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า สิบปี สิบห้าปี ยี่สิบปี จะมีคำตอบที่ใช่สำหรับทุกสิ่ง

บางอย่างทำให้ฉันนึกย้อนถึงครั้งหนึ่งที่จิตสัมผัสถึงความแจ่มกระจ่าง จนรู้สึกอิ่มเอมอย่างลึกซึ้งแล้วทึกทักเองว่า ตนก้าวสู่จิตตื่นรู้แล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็พูดถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับนักรบที่หลงภาคภูมิกับวีรกรรมในครั้งหนึ่งของชีวิต เหมือนจิตที่ค้างอยู่ในความสำเร็จเดียว แล้วหยุดการเติบโตไม่รับรู้และเปิดรับอื่นใดอีก เพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เคยเอื้อมถึงนั้นเป็นแต่เพียงการมีตัวตนต่อโลกเหมือนตัวละครที่ไฟส่องฉาย เป็นเสียงของการยอมรับ เป็นศรัทธาอันดีงามที่มีต่อตนเอง ซึ่งมันไม่นิรันดร์

และสำหรับบางคน การถูกพูดถึงในแง่มุมที่ต่างจากภาพลักษณ์ที่ตนวาดไว้ อาจเปราะบางมาก และไม่ควรมีใครตำหนิเขาด้วย ประสบการณ์ต่อโลกของเราต่างกัน ผลกระทบ ภาพสะท้อน การตอบสนองก็ต่างกัน แม้ว่ามันอาจทำให้ใครบางคนลุกขึ้นมาปกป้องตนเอง แก้ต่างหรือแม้แต่สาดสิ่งที่ตนได้รับนั้นใส่ผู้คนอย่างกราดเกรี้ยว ชิงชัง ก็ตามที

ตอนที่แต่ละคนได้รับคำชื่นชม ฉันรู้สึกเหมือนความงดงาม ดีงามของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อตัวฉันที่ถูกชี้ให้เป็นไปด้วย และก็พบว่าฉันยังต้องหมั่นดูแล ใคร่ครวญกับหลายๆ เรื่องของฉัน ที่พวกเขาพูดถึงผ่านตัวตนของเพื่อนของพวกเขาที่หันหลังให้เราแต่ละคน

จริงๆ แล้วสามวันมันน้อยมาก ใครก็พูดแบบนั้น สามสี่วันที่ชีวิตฉันถูกจับจัดเป็นช่วงๆ นั้น มันเจ๋งเป้งไปเลย และสามวันกับสาวหนุ่มกลุ่มนี้ก็เยี่ยมมากจริงๆ ... ขอบคุณนะ

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home