โดย ชลลดา ทองทวี
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๒

วันนี้ผู้เขียนได้เดินทางย้อนเข็มนาฬิกาไปพบปะกับอดีตของตัวเอง และได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวสิ่งที่หายไปในชีวิตกลับคืนมาบ้าง

ชีวิตในสังคมยุคเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปเร็วมาก จนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ซื้อมาราคาหลายหมื่นบาทเมื่อปีที่แล้ว กลายเป็นเหมือนวัตถุโบราณในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา เรามัวแต่กระหืดกระหอบวิ่งตามปัจจุบันที่วิ่งล้ำหน้าอนาคตไปเสียอีก จนทำให้ไม่มีเวลาได้ชื่นชมหลายสิ่งที่เคยมีคุณค่ายิ่งในชีวิต

งานฌาปนกิจศพของคุณลุงเขย มันฟังดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ ... ก็แค่คุณลุงเขยเสียชีวิต ยิ่งในสังคมทุกวันนี้ที่ญาติพี่น้องก็ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้าเท่าไร แค่พอจะมีดีเอ็นเอร่วมกันเท่านั้น แล้วเขยสะใภ้จะสำคัญอะไร

แต่ว่าสำหรับที่บ้านแล้ว เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนอะไรที่ช่วยหยุดเข็มนาฬิกาซึ่งหมุนเร็วเหลือเกินไว้ชั่วขณะ ช่างเป็นเวลาหยุดพักและทบทวนตนเองที่งดงามเหลือเกิน

คุณแม่วัย ๗๗ ปี ผู้อยู่ที่บ้านไร่ในภูเรือ และไม่ยอมลงมากรุงเทพฯ นานแล้ว กลับตัดสินใจทิ้งสุนัขชราตัวโปรดให้อยู่ในการดูแลของเพื่อน เพื่อเดินทางมาร่วมงานศพ เพราะว่า “คุณลุงเป็นคนดีเหลือเกิน ไม่เคยมีอคติกับใคร”

ครอบครัวของผู้เขียนเป็นครอบครัวที่แปลกๆ คุณแม่ผู้สูงอายุแล้ว เลือกไปอยู่คนเดียวที่บ้านไร่บนภูเขากับสุนัขฝูงหนึ่ง เพราะว่า “ทั้งชีวิต ไม่เคยได้อยู่คนเดียว” มันก็เป็นการเลือกที่น่าสนใจและได้รับการเคารพจากลูกๆ หลานๆ คุณแม่ขับรถไปตลาดเอง มีความสุขอยู่กับต้นไม้ ดอกไม้ และธรรมชาติในไร่

การเดินทางมายังกรุงเทพฯ ของคุณแม่ครั้งนี้ ทำให้เราพี่น้องสามคนได้มารวมตัวกันด้วย นานทีปีหน เราจึงจะได้มาพบกันพร้อมหน้า คงเป็นเพราะว่าพี่สาวคนโตมีลูก ๔ คน และวุ่นอยู่กับภารกิจการเป็นคุณแม่ น้องชายคนเล็กก็วุ่นกับการทำงาน ทั้งสามคนพี่น้องต่างอยู่กันคนละจังหวัด แม้ว่าเราจะโทรศัพท์คุยกับคุณแม่ทุกคืน และผลัดกันไปเยี่ยมคุณแม่ แต่ก็ไม่ค่อยจะได้มาพบกันเอง ชีวิตประจำวันแต่ละวันช่างเรียกร้องจากเรามากเหลือเกิน และเป็นเช่นนี้อย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว จนกระทั่งเวลาที่ควรให้กับพี่น้องแท้ๆ ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน กลับกลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็น หรือว่ามากเกินไป

ตอนใกล้เที่ยง เราร่วมเลี้ยงภัตตาหารเพลในพิธีบวชหน้าไฟของหลาน ได้พบกับลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ได้พบกันมาสิบกว่าปี คุณป้าหรือพี่สาวของคุณพ่อของผู้เขียน ผู้เป็นแม่ของลูกพี่ลูกน้องกลุ่มนี้ มีอาการหลงลืม จำใครไม่ค่อยได้แล้ว ซึ่งเป็นไปตามวัย คุณพ่อของผู้เขียนเองก็เสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุเมื่อสิบกว่าปีก่อน ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับญาติฝ่ายคุณพ่อ จึงมีเหลืออยู่น้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การได้มาพบเจอกับลูกพี่ลูกน้องที่เป็นลูกของคุณป้าในวันนี้จึงมีความหมายมากจริงๆ

มันเป็นพิธีที่เรียบง่ายมาก มีแต่ญาติพี่น้องกลุ่มเล็กๆ นี้ ได้เห็นหลานที่ไม่ได้เจอมานาน เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เราเป็นญาติสนิทกันโดยสายเลือด แต่อะไรในยุคสมัยที่เร่งเร็วนี้ ทำให้เราไม่ได้พบเจอกันเอาเสียเลย นอกจากในวันนี้ วันที่คุณลุงเขยจากเราไป ท่านมีน้ำใจดูแลพวกเราที่เป็นหลานของภรรยาอยู่บ่อยๆ เราก็ได้แต่มาขอบคุณท่านในงานศพ

ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้คนหลายคนในชีวิตก็อาจเป็นเช่นนี้ ได้พบเจอกัน แล้วก็หาเวลาไปเยี่ยมเยือนแทบจะไม่ได้ จนวันสุดท้าย

คำถามที่ผุดขึ้นในใจคือ นี่เราจะรีบไปไหนกันนะ

ในตอนบ่าย ลูกพี่ลูกน้องพาคุณป้ามางานศพคุณลุงเขยด้วย ท่านนั่งยิ้มแย้มอารมณ์ดี แต่จำใครไม่ได้ และไม่ได้ร้องไห้เสียใจกับการจากไปของคู่ชีวิต เพราะไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเท่าไรแล้ว คุณแม่ของผู้เขียนเข้าไปกราบท่าน ท่านก็โอบกอด เราพากันสงสัยว่าท่านจำน้องสะใภ้ได้หรือเปล่า ทั้งคู่พูดคุยยิ้มแย้มกัน โดยคนหนึ่งจำอะไรไม่ได้ ทั้งอดีตที่เป็นความสุขและความทุกข์ที่เคยผ่านมาด้วยกัน แต่อีกคนหนึ่ง คือคุณแม่ของผู้เขียน ร้องไห้

ชีวิตของเรามีอะไรบ้างที่สำคัญ มันอาจจะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ที่เรากำลังตามหาและไขว่คว้า แต่เป็นสิ่งเล็กๆ ที่งดงามที่เรามีอยู่แล้ว เช่น ครอบครัวเล็กๆ ของเรา

เราปรารถนาความเป็นชุมชน ความเป็นองค์รวมในโลก ในจักรวาล เราวิ่งตามหาคำใหญ่ๆ ที่เป็นอุดมคตินี้ในโลก แต่สิ่งที่จักรวาลได้ให้เรามาแล้วที่เป็นชุมชนโดยธรรมชาติ คือครอบครัวของเราแท้ๆ ชุมชนที่รักและดูแลเรามา แต่เรากลับมีเวลาที่จะทะนุถนอมและโอบอุ้มให้ผู้คนเหล่านี้ได้เติบโตทุกย่างก้าวไปด้วยกันกับเราน้อยเหลือเกิน

วันนี้ เหมือนได้ดูภาพยนตร์ย้อนเวลา คิดถึงวันที่คุณป้ามาเปิดประตูรับเวลาเราไปค้างที่บ้าน และทำอาหารให้ทาน คิดถึงคุณลุงเขยที่รับไหว้เราและให้พรอย่างอบอุ่น คิดถึงลูกผู้พี่ที่โตกว่าเรา และเคยพาเราไปเที่ยวสวนสนุก คิดถึงเจ้าหลานตัวน้อยที่เราเห็นนอนแบเบาะ ในวันนี้ เขาได้เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกับที่เราสอนอยู่แท้ๆ แต่เราไม่ได้มีโอกาสรู้เลย เขากลายเป็นศิลปินหนุ่มที่น่ารักและสดใส เดินถือภาพคุณลุงเขย หรือคุณปู่ของเขา นำหน้าขบวนแห่ศพเวียนรอบเมรุ

วันนี้ ได้มองเห็นว่าแต่ละคนที่เกิดมาในโลกต่างก็ได้รับสมบัติอันล้ำค่า คือการมีญาติพี่น้อง มีชุมชนที่อุดมยิ่งของชีวิตมาตั้งแต่เกิด แน่ล่ะว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่มีสิ่งนี้ แต่ว่าใครที่ได้รับพรอันนี้แล้วละเลยไปไม่ได้มองเห็น ในวันหนึ่งเช่นวันนี้ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ที่จักรวาลจัดสรรให้เราได้สัมผัสโดยธรรมชาตินี้ ก็อาจจะยื่นอ้อมกอดมาโอบอุ้มดูแลและสัมผัสเรา ในเวลาที่เรารู้สึกว่า เกือบจะสายเกินไปเสียแล้ว

ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าสิ่งเล็กๆ ที่เรามี เราอาจจะหยุดเวลาที่ดูเหมือนจะเร่งเร็วไม่รู้จบ เพื่อลองมองสำรวจสิ่งเล็กๆ ที่ล้ำค่ายิ่งในชีวิตดูบ้าง วันนี้ เราได้อยู่กับสิ่งเล็กๆ ที่งดงามนั้น อย่างเต็มเปี่ยมบ้างหรือยัง

หรือเราจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ ที่อาจจะไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่กับเราอีกต่อไปแล้ว

เพราะว่ากาลเวลาไม่มีค่าในตัวเอง แต่สิ่งที่เราได้เติมเต็มเข้าไปในกาลเวลาเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน :-)

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home