tag:blogger.com,1999:blog-276783522024-02-08T10:25:40.264+07:00เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษารวมบทความ ข้อเขียนและสาระความรู้ จากเครือข่ายจิตตปัญญาศึกษาUnknownnoreply@blogger.comBlogger173125tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-86106090450899439402009-10-11T07:00:00.000+07:002009-10-11T07:00:01.734+07:00บทความที่ ๑๗๒: จิตตปัญญาพฤกษา<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjt5TVxXMM0v3A0moLYIx_ak77ytXuZRegAwgZNbLjOKQdOFmGOjBfGLhPDvzBRev5rFw3BoMnXeyStm8Qe1uqLlzXJcTewFtv_4oQyoo0l_Rv7kQpgMq1hk-6cAS3U_JA69hMtow/s1600-h/12+label+ConEd+expanded+small.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 224px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjt5TVxXMM0v3A0moLYIx_ak77ytXuZRegAwgZNbLjOKQdOFmGOjBfGLhPDvzBRev5rFw3BoMnXeyStm8Qe1uqLlzXJcTewFtv_4oQyoo0l_Rv7kQpgMq1hk-6cAS3U_JA69hMtow/s320/12+label+ConEd+expanded+small.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5390426298280868866" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">ธีระพล เต็มอุดม</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา<br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๒<br /><br /> ราว 2 ปีที่ผ่านมา เราหลายคนในเครือข่ายจิตตปัญญาศึกษาได้ร่วมกันทำงานทบทวนความรู้ที่เกี่ยวข้องกับจิตตปัญญาศึกษา โดยได้รับทุนสนับสนุนโครงการจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผ่านไปยังศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยในช่วงเวลาของการริเริ่มนี้เราเชื่อว่าควรมีความรู้เป็นฐานรองรับ ดังที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ท่านให้ความเมตตาแนะไว้ว่า หากจะกระทำการขับเคลื่อนเรื่องใด ควรได้ศึกษาวิจัยเรื่องนั้นให้รู้จบสิ้นดินฟ้ามหาสมุทร เพื่อจะได้ทำงานในส่วนที่เป็นคานงัด ทำน้อยแต่ได้ผลมาก หรือทำในส่วนที่ยังขาดพร่องอยู่<br /><br /> เราใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มและเข้าไปปรึกษาขอรับคำแนะนำจากปราชญ์หลายท่าน โดยเฉพาะอาจารย์อาวุโสในกลุ่มจิตวิวัฒน์ จนกระทั่งเริ่มเห็นแนวทางว่าควรจะทำงานศึกษาทบทวนใน 5 เรื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศจึงจะครอบคลุมภาพรวมและเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาต่อยอดในอนาคต ทั้ง 5 เรื่องนั้นประกอบด้วย 1. ประวัติแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2. เครื่องมือและวิธีปฏิบัติในแนวจิตตปัญญาศึกษา 3. วิธีวิทยาการวิจัยสำหรับจิตตปัญญาศึกษา 4. การประเมินสำหรับจิตตปัญญาศึกษา และ 5. แนวทางการประยุกต์ใช้จิตตปัญญาศึกษาในวงการต่างๆ<br /><br /> งานวิจัยเชิงสำรวจครั้งนี้ทำให้เราได้ข้อมูลจำนวนมาก เราพบว่าแม้จิตตปัญญาศึกษามีความเคลื่อนไหวที่เริ่มในต่างประเทศมาไม่นาน ทว่าได้นำแนวคิดที่มีอยู่ร่วมกันในหลายศาสนาและความเชื่อมาใช้ในบริบทสังคมร่วมสมัย วิธีการปฏิบัติก็ยังมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเน้นฐานกาย กิจกรรมเชิงพิธีกรรม การทำงานศิลปะ รวมทั้งใช้สมาธิและการสงบนิ่ง ล้วนแล้วเป็นการปฏิบัติที่จิตตปัญญาศึกษานำมาใช้ ส่วนวิธีวิทยาการวิจัยก็มิได้จำเพาะต้องเป็นแนวทางหนึ่งใด แต่ควรได้บูรณาการผสมผสานให้เห็นความจริงจากหลากมุมมอง เช่นเดียวกับการประเมินที่มีจุดสำคัญคือการรู้เท่าทันและตระหนักในกระบวนทัศน์ของตนเอง ตลอดจนการประยุกต์ใช้แนวคิดจิตตปัญญาศึกษาในวงการต่างๆ นั้นจึงมิใช่การปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากันได้กับบริบทเท่านั้น แต่เป็นการประยุกต์ที่มุ่งสู่การเรียนรู้จิตใจและเข้าใจตน<br /><br /> ในระหว่างกระบวนการวิจัยเราพบอุปสรรคและข้อจำกัดไม่น้อยเฉกเช่นเดียวกับการร่วมกันทำงานในหลายๆ อย่าง บางเรื่องเราอาจจะสามารถจัดการได้ด้วยวิธีสั่งการ หรือยึดเอาแผนการดำเนินงานเป็นหลัก ทว่าข้อมูลความรู้มากมายที่เราพบบ่งชัดว่าการพัฒนาจิตวิญญาณและปัญญาทั้งหลายในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ผ่านการมีประสบการณ์ตรงของผู้ปฏิบัติ การทำงานวิจัยร่วมกันของเราจึงกลายเป็นพื้นที่เพื่อการฝึกฝนทางจิตตปัญญาของผู้วิจัยทุกคน เรานำเอาแนวคิดความเป็นผู้นำร่วมและความเป็นผู้นำผู้รับใช้ให้มาอยู่ในการทำงานจริง แม้เรื่องดังว่านี้จะไม่ง่ายดายและคงไม่เห็นผลทันทีก็ตาม แต่อย่างน้อยเราต่างได้เรียนรู้อะไรผ่านประสบการณ์ตรงทีเดียว<br /><br /> ช่วงของการสรุปประมวลและสังเคราะห์ความรู้เป็นขณะเวลาที่น่าประทับใจ ทุกคนในคณะทำงานโครงการได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประเด็นความรู้จากงานที่ต่างคนได้ทบทวนศึกษามา แต่แรกดูเหมือนว่าจะหาข้อสรุปลงตัวที่ตรงใจให้แก่กันไม่ได้ เมื่อความเครียดครอบงำการทำงานเราจึงได้พลิกเปลี่ยนเข้าหาความผ่อนคลาย บทสนทนาสู่บทสรุปจึงเกิดขึ้นได้ในเนื้อหาเดิมเดียวกัน จากความคิดเล็กๆ หนึ่งก่อเกิด ความคิดใหม่ได้ต่อยอดและประกอบกันเข้าเป็นข้อสรุปในใจที่เราสามารถเห็นร่วมตรงกัน เสนอประมวลความรู้จิตตปัญญาศึกษาให้เป็นโมเดลชื่อว่า <span style="font-weight:bold;">“จิตตปัญญาพฤกษา” (Contemplative Education Tree)</span><br /><br /> องค์ประกอบของโมเดลนี้มีส่วนสำคัญ 8 ประการซึ่งสื่อถึงองคาพยพของต้นไม้ ได้แก่ 1. <span style="font-weight:bold;">ราก</span> คือที่มาและพัฒนาการของจิตตปัญญาศึกษานั้นอยู่ฐานแนวคิดเชิงศาสนา เชิงมนุษยนิยมและเชิงบูรณาการองค์รวม 2. <span style="font-weight:bold;">ผล</span> คือเป้าหมายการเรียนรู้สู่จิตใหญ่ที่กว้างขวางครอบคลุมและเชื่อมโยงถึงความจริงของสรรพสิ่ง 3. <span style="font-weight:bold;">แก่น</span> เป็นกระแสแห่งการพัฒนาสู่จิตใหญ่ ประกอบด้วย การมีสติเปิดรับประสบการณ์ตรงในปัจจุบันขณะอย่างเต็มเปี่ยม การสืบค้นกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะกับตน การน้อมมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจริงจัง ความเบิกบานและผ่อนคลาย และการมีจิตตั้งมั่นและเป็นกลาง 4. <span style="font-weight:bold;">กระพี้ </span>เป็นบริบทของการเรียนรู้ ประกอบด้วย ชุมชมหรือสังฆะสนับสนุน และการกลมกลืนกับวัฒนธรรม 5. <span style="font-weight:bold;">เปลือก </span>เป็นเครื่องมือและการปฏิบัติรูปแบบต่างๆ 6. <span style="font-weight:bold;">เมล็ด</span> เป็นศักยภาพการเรียนรู้ภายในมนุษย์ 7. ผืนดิน เป็นวงการต่างๆ ที่จะนำจิตตปัญญาศึกษาไปประยุกต์ใช้ และ 8. <span style="font-weight:bold;">การปลูกและดูแล </span>เป็นกระบวนการพัฒนาและทบทวนความรู้ ประกอบด้วยวิธีวิทยาการวิจัย และการประเมิน<br /><br /> ผู้ทรงคุณวุฒิและกัลยาณมิตรบางท่านได้เคยทักท้วงว่าโมเดลนี้อาจยังไม่ชัดเจนและเข้าใจได้ยาก ขณะที่เราคณะทำงานน้อมรับความเห็นต่างนั้น แต่เรายืนยันการนำเสนอโมเดลลักษณะนี้เพื่อชี้ว่าการเรียนรู้เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณดังเช่นจิตตปัญญาศึกษาไม่ได้มีแบบแผนทิศทางคงที่ ตายตัว ไม่ได้เป็นกลไกลดทอนย่อส่วนหรือเชิงเส้น การเปรียบเปรยภาพของการเรียนรู้กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่แยกส่วนและสัมพันธ์ประสานกันจึงเป็นการอุปมาที่มีความมุ่งหมาย<br /><br /> อีกทั้งการเลือกใช้โมเดลจิตตปัญญาพฤกษานำเสนอภาพแนวคิดจิตตปัญญาศึกษามิได้ตั้งอยู่บนความต้องการปกป้องผลงานวิชาการ แต่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากกระบวนการทำงานอย่างเป็นผู้นำร่วมและการทดลองใช้วิธีปฏิบัติตามแนวจิตตปัญญาศึกษาของคณะทำงาน เป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ตรงและเชื่อมร้อยสัมพันธ์กับใจของเราผู้ศึกษา ดังนี้แล้ว ความเห็นพ้องหรือความเห็นต่างต่อจิตตปัญญาพฤกษาอันสามารถนำไปสู่ความเข้าใจและสนับสนุนการนำจิตตปัญญาศึกษาไปใช้จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งสิ้น<br /><br /> เมื่อสิ้นโครงการนี้ เราเริ่มโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยนำจิตตปัญญาพฤกษาเป็นโมเดลต้นแบบนำไปใช้จัดการเรียนการสอนให้นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ตลอดรายทางของชั้นเรียนและผลตอนท้ายของการศึกษาล้วนบ่งชี้ว่าการเรียนรู้เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณหาใช่การวางแผนการสอนและจัดการเรียนไปตามแผนอย่างเคร่งครัด แต่ควรสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสม ทั้งการจัดกระบวนการและวิธีปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นสุนทรียสนทนา ศิลปะ และการเจริญสติ พร้อมทั้งมี<span style="font-weight:bold;">การเรียนรู้อย่างสังฆะกัลยาณมิตรหรือชุมชนการเรียนรู้เป็นกระพี้โอบอุ้ม เมื่อผู้เรียนพร้อมเมื่อนั้นเขาจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตนเองและด้วยตนเอง</span><br /><br /> <span style="font-weight:bold;">สำหรับเราผู้ซึ่งทำงานวิจัยทบทวนความรู้และได้นำไปทดลองปฏิบัติการ เราปรารถนาให้โมเดลจิตตปัญญาพฤกษาเป็นเครื่องเตือนให้ได้ระลึกอยู่เสมอว่า แม้การเรียนรู้ในแนวทางจิตตปัญญาศึกษานั้นจะไม่อาจคาดหวังและกะเกณฑ์ผลลัพธ์อันแม่นยำจากผู้เรียนได้ แต่เราเชื่อมั่นได้อย่างแน่นอนว่าภายใต้การหมั่นสร้างปัจจัยแวดล้อมให้เอื้ออำนวยแล้ว การเติบโตทางจิตวิญญาณในกระบวนการเรียนรู้ย่อมจะเกิดขึ้นและดำเนินไปเฉกเช่นเดียวกับการเติบโตของชีวิตจากเมล็ดน้อยๆ สู่ไม้ใหญ่อันให้ความร่มเย็นแก่ผืนดินและสรรพชีวิตทั้งหลายในที่สุด</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-47979052279799624642009-10-04T07:00:00.002+07:002009-10-04T07:00:00.423+07:00บทความที่ ๑๗๑: ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางบทใหม่<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOU5Ab7tu9zKa1N6xDafd6EvOxHBbrGLDEutQampIyubZNFNwx_djhCMi9HPlkQjfN_hV2rYJo7efIufUzs_jZX7TILd0BTxbjO-YttLeLiMazq8e4PMedeTvwDx6sk6VkbgMDxw/s1600-h/IMG_5777.JPG.jpeg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 300px; height: 225px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOU5Ab7tu9zKa1N6xDafd6EvOxHBbrGLDEutQampIyubZNFNwx_djhCMi9HPlkQjfN_hV2rYJo7efIufUzs_jZX7TILd0BTxbjO-YttLeLiMazq8e4PMedeTvwDx6sk6VkbgMDxw/s320/IMG_5777.JPG.jpeg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5387471246945056386" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">สรยุทธ รัตนพจนารถ</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <a href="mailto:ContemplativeEducation@yahoo.com">ContemplativeEducation@yahoo.com</a><br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒<br /> <br /> <span style="font-style:italic;">“ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเขียนอะไรที่จะแทนความประทับใจ ความขอบคุณให้แก่อาจารย์ ทึ่งในตัวอาจารย์มาก ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณครับที่มอบทางสว่าง ไม่สิ ขอบคุณที่ทำให้ผมเห็นจุดหมาย ก่อนมาที่นี่ ผู้คนมากมายถามผมว่ามาเรียนคณะวิทยาศาสตร์แล้วจะทำอาชีพอะไร ก็ตอบไปก่อนว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ในใจน่ะหรอ ไม่เลย ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตนเองต้องการเป็นแบบไหน”</span> (อรรถพล อ.)<br /><br /><hr width="70%" align="center"><br /><br /> “ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา” ผมนึกถึงสำนวนนิยายจีนของโกวเล้ง<br /><br /> ภาคการศึกษานี้ อาจจะเป็นภาคการศึกษาสุดท้ายของผมในการเลกเชอร์ให้กับนักศึกษาปีหนึ่งของมหิดล การสอนบรรยายให้นักศึกษาห้องละสองร้อยกว่าคน หลายคนมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ เบื่อกันทั้งคนสอนและคนเรียน ก็น่าเห็นใจอยู่หรอกนะ กับระบบการศึกษาที่ท่องไปเพื่อคะแนน เรียนไปเพื่อสอบ<br /><br /> แต่<span style="font-weight:bold;">สำหรับผมแล้ว การไปสอนเลกเชอร์เป็นการเติมเต็มความหมายของชีวิต</span> การได้เปลี่ยนบทบาทจากเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เคยนั่งหันหน้าหากระดานดำ เรียนบ้าง จดบ้าง คุยบ้าง หลับบ้าง แอบกินขนมบ้าง กลับมายืนหน้าห้องบรรยายห้องเดิม แต่ครั้งนี้หันหน้าไปทางหลังห้อง <span style="font-weight:bold;">เหมือนมองย้อนกลับไปจนเห็นตนเองในอดีต มันเปรียบดั่งการจาริกไปสู่ต้นกำเนิดแห่งตัวตนของผมเอง</span><br /><br /> ไม่มีวันไหนแม้แต่วันเดียวที่ไม่อยากไปสอน ฝนตก แดดออก รถติด ถนนว่าง วันเดินทางไปศาลายาเป็นวันที่ตื่นเต้น อุดมไปด้วยโอกาสและความเป็นไปได้ ไม่มีสองวันไหนที่เหมือนกันเลย<br /><br /> ยิ่งปีสุดท้ายปีนี้ด้วยแล้ว เลกเชอร์แต่ละครั้งยิ่งมีความหมายกับผมอย่างมาก<br /><br /> ผมรู้ว่าจะทำให้ดีที่สุด แต่ไม่เคยรู้เลยว่าผลจะออกมาอย่างไร และการที่ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรนี่ด้วยกระมังที่ทำให้มันน่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่<br /><br /> คืนก่อนหน้า ผมมักจะนั่งทำ PowerPoint อย่างบรรจง เตรียมเล่าข่าวสดๆ ทันเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับเนื้อหา เลือกรูป เลือกสไลด์ เลือกคลิปด้วยความพิถีพิถัน จนบางทีสงสัยว่าย้ำคิดย้ำทำเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อคิดว่ากับช่วงเวลาสั้นๆ ๖ สัปดาห์ สัปดาห์ละ ๒ ชั่วโมง แต่ละนาทีนับว่ามีความหมายไม่น้อย<br /><br /> อันที่จริง ๑๒ ชั่วโมง กับเนื้อหา ๑๑ บท ๑๙๘ หน้าแล้ว มันง่ายมากเลย ที่คนสอนอย่างเราๆ จะเดินทางเข้าสู่ร่องของการเรียนรู้ที่เราคุ้นเคยตั้งแต่สมัยเราเป็นนิสิตนักศึกษาเอง เพราะลำพังแค่สรุปเนื้อหาในหนังสือมาสอนก็แทบจะไม่ทันแล้ว <span style="font-style:italic;">“ไม่ใช่แต่ พูดๆ ไปตามหนังสือ พอเสร็จ เด็กก็ไปคายๆๆ ในห้องสอบ ใครจำได้มากได้คะแนนมาก หนูรู้สึกว่ามันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่”</span> (รหัส 520517X)<br /><br /> หรือว่าเราต้องเชื่อว่านักศึกษาเขาเรียนรู้เองได้ รับผิดชอบตนเองได้ หากว่าเขาต้องการ ถ้าเช่นนั้น ความท้าทายของเราอาจจะไม่ได้อยู่ที่การพยายามอัดหรือยัดเนื้อหาให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่การทำให้เขาเห็นคุณค่า ความหมาย ความสำคัญ ความน่าทึ่ง ในโอกาสและวิชาที่อยู่เบื้องหน้าเขา<br /><br /> หากเราเชื่อในเจตจำนงอิสระของมนุษย์แต่ละคน และสามารถโยงสิ่งที่เขาเรียนเข้ากับชีวิตของเขาได้ ก็คงไม่ต้องขู่เข็ญใครให้มาเข้าเรียน รวมไปถึงบังคับข่มขู่ด้วยระบบคะแนน<br /><br /> ผมสนุกกับการ<span style="font-weight:bold;">สร้างความหมายใหม่ให้กับวิชาชีววิทยา วิทยาศาสตร์ การเรียนรู้ และการมีชีวิต</span> ร่วมกันไปกับรุ่นน้องคณะ เชื้อเชิญอารมณ์ ความรู้สึก ความมีชีวิตชีวา ความเป็นมนุษย์กลับเข้ามาสู่การเรียนรู้อีกครั้ง (โดยไม่ได้พูดถึงคำว่า จิตตปัญญาศึกษา, Contemplative Education หรือ Humanized Educare เลย) เชิญชวนให้เขาตั้งคำถามกับสิ่งที่เขาเรียน วิธีการที่เขาเรียน และเป้าหมายของการเรียนของเขา (สไลด์แรกสุดคือคำถามว่า “จะเรียนไป ... ทำไม?”)<br /><br /> แน่นอน นักศึกษาจะรู้สึกงงๆ ในตอนต้น<br /><br /> <span style="font-style:italic;">“แรกๆ ผมก็โดด คิดว่าไปอ่านเองแล้วจะได้อะไรมากกว่า แต่หลังๆ ก็เริ่มเข้า [เรียน] ทำให้รู้สึกว่าไม่น่าโดดเลย อาจารย์สอนอะไรมากกว่าในหนังสืออีก ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าการเรียนมหาลัยไม่ใช่เพื่อเป็นที่ 1 คณะ หรือได้คะแนนเกินมีนมาเยอะๆ แต่มันประกอบด้วยการมีศีลธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักธรรมชาติ รู้จักการเอาใจใส่คนรอบข้าง เกรดก็สำคัญ แต่เกรดไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต มีอะไรให้ชีวิตเราค้นหามากกว่านั้น มันคือความสุขของชีวิต เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องสนใจว่าสาขานี้เป็นสาขาที่ต้องการ มีรายได้ดี ขอบคุณอาจารย์มากๆ ครับที่สอนแนวคิดดีๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่นให้ผมครับ”</span> (จิรพงศ์ บ.)<br /><br /> ทุกครั้ง ก่อนหมดคาบ ๑๐ นาที ผมให้ทุกคนเขียนสะท้อนว่า ๑) สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาได้เรียนรู้ หรือสิ่งที่เขารู้สึก “โดน” ที่สุดในวันนั้นคืออะไร และ ๒) เขามีอะไรที่อยากจะถาม/รู้/บอก/แนะนำ แต่ละสัปดาห์ผมจึงมีกระดาษสองร้อยกว่าแผ่นกลับบ้าน ผมอ่านทุกใบด้วยความสนใจใคร่รู้ อยากรู้จักแต่ละคน อยากเข้าใจในที่มาของแต่ละคน ผมคัดไว้จำนวนหนึ่งเพื่อมาอ่านตอนต้นชั่วโมงถัดไป ทั้งข้อคิดเห็น คำบ่น คำแซว คำชม โดยเฉพาะคำถาม ซึ่งผมมักตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง <span style="font-weight:bold;">“อย่าฆ่าคำถามดีๆ ของเขา ด้วยคำตอบห่วยๆ ของเรา”</span> ผมเตือนตนเอง<br /><br /> วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ผมชวนนักศึกษาทำ Intuitive Writing ให้เขาได้แบ่งปัน “อะไรก็ได้” เพื่อสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจากชั้นเรียนที่ผ่านมา การเขียนนี้ไม่มีผลต่อคะแนน และไม่จำเป็นต้องลงชื่อ<br /><br /> คำแนะนำสั้นๆ ของผม คือ เขียนโดยไม่หยุด ไม่ยกปากกาขึ้น เขียนไปเรื่อยๆ หากนึกไม่ออก ก็เขียน “นึกไม่ออก นึกไม่ออก” สบายๆ ผ่อนคลาย ไปเรื่อยๆ เป็นเวลา ๑๐ นาที<br /><br /> สิบนาทีสั้นๆ ที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายสำหรับผม สัมผัสรับรู้ได้ว่าทำไมมีนักศึกษาหลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่<br /><br /> <span style="font-style:italic;">“At first, I thought that there was nothing interesting in sitting and studying in the room. Though it was freaking hard waking up in the morning, walking to the [Lecture Hall], but I did it with cheering ’cause it was Monday, the day I get to study Biology with you. ... There are lots of things out there waiting to be explored, but I just ... waste my time fooling around on the internet. Your words are like wake up calls to me. ... Thank you for everything. You’re such a heaven-sent. I’m honored.”</span> (ภัทราวรรณ พ.)<br /><br /> <span style="font-style:italic;">“อาจารย์เชื่อไหมว่าเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดชอบชีวะเลย ... คิดว่ามันน่าเบื่อ แต่ตอนนี้กลับอยากเข้าห้องเรียน อยากมานั่งฟัง รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ... ถามว่าอะไรโดนเหรอคะ โดนตรงที่มันเปลี่ยนความคิดของคนได้ เนี่ยหล่ะโดนสุด”</span> (ไม่ลงชื่อ)<br /><br /> <span style="font-style:italic;">“การได้เรียนรู้แนวการเรียนที่มันแตกต่างออกไป มันทำให้เราได้คิดย้อนกลับมามองตัวเองมากขึ้นว่าสิ่งที่เราเรียนเราเรียนไปเพื่ออะไร เพื่อเอาไปทำอะไร แล้วมันมีความสัมพันธ์กับชีวิตรอบตัวของเราอย่างไร ทั้งคน-สัตว์และพืช (สิ่งแวดล้อม) มีความสัมพันธ์กันทั้งนั้น แต่เรากลับมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป ทำให้เราไม่รู้จักพอ”</span> (โฆษิต ฐ.)<br /><br /> <span style="font-style:italic;">“เป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาจากที่อื่นมาทดแทนได้ การเรียนชีววิทยาที่น่าตื่นเต้นในมุมมองของคนที่จะศึกษาวิทยาศาสตร์กายภาพอย่างผมนี้”</span> (พิษณุ บ.)<br /><br /> <span style="font-style:italic;">“แท้จริงแล้วมนุษย์ก็เป็นส่วนเล็กๆ ของธรรมชาติ แม้ว่าจะได้เจออาจารย์เพียงช่วงสั้นๆ แต่หนูก็ดีใจและภูมิใจมากๆ ค่ะ ที่ได้เป็นศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ หนูจะใช้เวลาอีก 3 ปี+1 เทอมในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้มีคุณค่ามากที่สุดเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในห้องเรียน ก่อนออกไปเผชิญกับโลกภายนอกอย่างเต็มภาคภูมิ หนูสัญญาว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีเหมือนอย่างที่อาจารย์เป็น จะไม่เอาความรู้ที่เรามีไปเอาเปรียบใคร ... ขอบคุณมากๆ ค่ะ สำหรับการเรียนใน 6 ครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่หนูก็ดีใจ และขอบคุณจากใจค่ะ”</span> (520517X)<br /><br /> <span style="font-style:italic;">“ก็ไม่รู้สิ มีอะไรอยากบอกมากกว่านี้ตั้งมากมาย แต่ก็นะ บอกไม่หมดหรอก ขอบคุณล่ะกันครับ ความรู้สึกที่มากที่สุดตอนนี้คงเป็นคำว่า ขอบคุณ”</span> (อรรถพล อ.)<br /><br /><hr width="70%" align="center"><br /><br /> ใช่เลย ความรู้สึกเด่นชัดที่สุดของผมขณะนี้ คือ ขอบคุณ ขอบคุณเหล่านักเดินทางรุ่นเยาว์เหล่านี้ พวกเขาเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้การเดินทางท่องไปในโลกใบกว้าง พร้อมๆ กับเดินทางเข้าไปในใจในกาย ที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ น่าอัศจรรย์ไม่แพ้กัน ดังเช่นที่ สาทิศ กุมารเคยกล่าวไว้ “มีเธอ จึงมีฉัน”<br /><br /> ชวนให้ผมนึกถึงการเดินทางด้วยเท้าอันยิ่งใหญ่ในโลก โดยเฉพาะการเดินทางของคานธี ไปทำเกลือทะเลที่นำไปสู่การประกาศอิสรภาพของอินเดีย การเดินทางโดยปราศจากเงินแม้เพียงรูปีเดียว ของสาทิศ กุมารจากอินเดียไปยุโรปและอเมริกา เพื่อส่งมอบ “ชาสันติภาพ” แก่ผู้นำประเทศมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ รวมถึงการเดินทางของประมวล เพ็งจันทร์ อันเป็นที่มาของหนังสือ “เดินสู่อิสรภาพ”<br /><br /> การเดินทางเล็กๆ ในชั้นเรียน แม้จะไม่โด่งดังและยิ่งใหญ่เท่ากับการเดินทางเหล่านั้น แต่ก็ “จริง” อย่างยิ่งสำหรับบรรดาเหล่านักเดินทางรุ่นใหม่ <span style="font-weight:bold;">เป็นดั่งคำเชื้อเชิญให้เปิดใจ เรียนรู้ และออกเดินทางสู่การตื่นรู้ ในวิถีที่ไม่แยกเป้าหมายทางวิชาชีพ (professional quest) ออกจาก เป้าหมายทางจิตวิญญาณ (spiritual quest)</span><br /><br /> ชั้นเรียนของเราอาจจะจบแล้ว แต่การเดินทางของเราอาจจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นก็ได้<br /><br /> ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางบทใหม่ครับ :-)Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-51737826753662385212009-09-27T07:00:00.001+07:002009-09-27T07:00:00.229+07:00บทความที่ ๑๗๐: ศักยะที่เป็นไปได้ (Possibilities)<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiK9UG6JdFID_FXTJSbn_gQzxYDwQ_3-AVVCbqLA1PcFmmISSAfQ9TzIG6sq4DEYgZLoveyvqkdInvSlIIftd0okcDPvKIA5XPPlOZ8Bfkc75RLWTJ-keZJ4UXCQ-xl4vnRY-kUtw/s1600-h/1.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 207px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiK9UG6JdFID_FXTJSbn_gQzxYDwQ_3-AVVCbqLA1PcFmmISSAfQ9TzIG6sq4DEYgZLoveyvqkdInvSlIIftd0okcDPvKIA5XPPlOZ8Bfkc75RLWTJ-keZJ4UXCQ-xl4vnRY-kUtw/s320/1.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5384975409521617298" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">สุวัฒนา ชุมพลกูลวงศ์</span><br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา<br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๒<br /><br /> “เราจำเป็นต้องเป็นตัวเราตลอดเวลาไหม?”<br /><br /> พี่สาวพยาบาลทหารคนหนึ่งถามขึ้นในวงสุนทรียสนทนา เพราะช่วงที่ผ่านมา เธอกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง และต้องจัดกระบวนการกลุ่มโดยผลัดกับเพื่อนเป็นผู้นำกลุ่มและดำเนินการประชุมให้สำเร็จลุล่วง แน่นอนว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาของผู้ประเมินซึ่งเธอเรียกว่า Commentator ตลอดเวลา<br /><br /> เธอถามคำถามนี้กับตัวเองในค่ำคืนหลังจากตัวเองเป็นผู้นำประชุม และถูก Commentator กระหน่ำความเห็นประหนึ่งหวดไม้ลงมาที่เธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า “กะว่าจะเอาให้ลงไปกองตรงนั้นให้ได้เลยกระมัง” เธอกล่าว เพื่อนๆ ถึงกับเข้ามาจับมือ ตบไหล่ และให้กำลังใจเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ทั้งๆ ที่เธอเพียงแสดงเป็นตัวของเธอเองน่ะหรือ ผู้ประเมินถึงกระหน่ำคำพูดที่ทำร้ายกับเธอเช่นนี้?<br /><br /> ถ้าเช่นนั้นเธอควรจะทำเช่นไรดี?<br /><br /> วันถัดมา เธอจึงแสร้งทำเป็นซึมแต่เช้า ทั้งที่ปรกติเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองมาก พูดจาฉะฉานและมีแววตาที่มุ่งมั่น และเพื่อให้สมบทบาทนี้ เธอถึงกับกรอกยาแก้ปวดหัวต่อหน้าเพื่อนฝูง ไม่ให้เพื่อนๆ ประหลาดใจว่าเธอแปลกไป เพราะวันนี้เธอจะเป็นคนปวดหัว ซึม เซื่อง และนำประชุมไม่ได้เรื่องไงล่ะ!<br /><br /> ผลที่เกิดขึ้นนับว่าเกินความคาดหมาย เพื่อนๆ และวงประชุมเซื่องซึมไปตามๆ กัน ยังไม่นับ Commentator ผู้เดิมที่ไม่อาจหวดไม้ตะบองที่เตรียมมาได้เลย<br /><br /> นี่อาจเป็นวิธีแก้ปัญหาหรือสถานการณ์ที่เธอต้องเผชิญให้ก้าวผ่านมาได้อย่างดีที่สุดแล้ว แต่กระนั้น ฉันกลับฟันธงไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้อยู่ในใจเงียบๆ<br /><br /> ---------------------------------------<br /><br /> ตอนบ่ายหลังจากวงสนทนาจบลง ฉันเดินไปทานข้าวกับพี่สาวอีกสองคน เรายังคงพูดคุยถึงเรื่องราวของแต่ละคนกันต่อ พี่คนหนึ่งพูดในตอนท้ายเป็นเชิงสรุปความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับการทำงานในบริษัทที่ต้องกระตุ้นและฟูมฟักการเติบโตให้แก่พนักงานในความดูแลว่า “ต้องยอมรับว่าในความเป็นจริง คนที่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และเติบโตด้วยตัวเองเหล่านี้มีเป็นส่วนน้อย เราจึงยังต้องกระตุ้น ชักจูง ให้รางวัลคนส่วนใหญ่ให้กระตือรือร้นขึ้นมา”<br /><br /> ความไม่พอใจระคนกับความรู้สึกไม่เห็นด้วยก็เกิดขึ้นในใจของฉันอีกครั้ง<br /><br /> จากนั้น ภาพสมัยชั้นเรียนวิชา การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และวิชา สิ่งแวดล้อมศึกษา : ทฤษฎีและปฏิบัติ ในมหาวิทยาลัยของฉันก็ผุดตามขึ้นมาทันที (คุณพระช่วย! ใจเรามันเร็วจริงๆ)<br /><br /> “เป็นตัวของตัวเอง ตัวเองถูกเสมอ ทุกคนต้องหมุนรอบตัวฉัน” ฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ภาพตัวฉันและเพื่อนในสองชั้นเรียนนี้ ทำให้ฉันฉุกคิดถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในอีกแง่มุมที่เรียกว่า <span style="font-weight:bold;">“ศักยภาพดั้งเดิม”</span> หรือ <span style="font-weight:bold;">“ศักยภาพเดิมแท้”</span> ที่มนุษย์แต่ละคนมีอยู่แล้ว และมีมาตั้งแต่ถือกำเนิด<br /><br /> หากเปรียบเทียบเพื่อนนักศึกษากว่า 10 ชีวิตช่วงก่อนและหลังจากเรียนทั้งสองวิชามาตลอดเวลา 1 ปี เราพบว่าการเติบโตของ “ตัวตน” แต่ละคนช่างสวยงามเหลือเกิน<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">“เหมือนแต่ละคนเป็นต้นไม้ ที่วันนี้ออกดอกออกมาอย่างสวยงาม” คือคำพูดเปรียบเปรยสิ่งที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของการเล่าเรียนในวิชาเหล่านั้น</span><br /><br /> ด้วยกระบวนการเรียนรู้ของวิชาการจัดการทรัพยากรฯ ที่หนุนเสริมให้แต่ละคนเลือกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง ไม่มีการทำโทษหรือตำหนิอย่างฉับพลันทันที เช่น หากเข้าเรียนไม่ทันเวลา ไม่ส่งงานตามกำหนด หรือไม่ได้ศึกษาเอกสารมาล่วงหน้า อาจารย์ก็เพียงแต่ยิ้ม (จริงๆ!) ไม่ดุด่า แต่ก็ไม่ปล่อยปละละเลย และในวันที่มีกรณีเหล่านี้ พวกเราก็จะได้เรียนรู้และเข้าใจตนเองในสิ่งที่ไม่มีใครเคยสอน จากเรื่องราวเกิดขึ้นในชีวิตจริง<br /><br /> ส่วนวิชาสิ่งแวดล้อมศึกษาฯ ทุกคนจะต้องเขียนข้อเสนอโครงการสิ่งแวดล้อมศึกษาส่งในวันสุดท้ายของชั้นเรียนคนละชิ้น แต่ระหว่างนั้นฉันกลับได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองมากมายเหลือเกิน ตั้งแต่การเลือกหัวข้อโครงการ ซึ่งมันอาจใช้เวลาไปมากมายก็จริง แต่กลับเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในความคิดของฉัน พวกเราได้ค่อยๆ สำรวจว่าในโลกใบนี้ อะไรคือสิ่งที่เราสนใจ? อะไรคือสิ่งที่เราให้คุณค่า? เราจะเลือกหัวข้อที่ยากลำบากแต่ท้าทายความสามารถและจริงแท้กับความรู้สึกของตัว หรือจะเลือกหัวข้อพื้นๆ ทำให้เสร็จได้ง่ายๆ เพียงแค่พอแถกับคนอื่นได้ว่าตัวเองก็มีความสนใจนะ เพียงแค่ขั้นตอนนี้ก็อาจเรียกได้ว่าเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากกว่าเวลา 3 ปีที่ผ่านมาในมหาวิทยาลัยแล้วด้วยซ้ำ<br /><br /> ระหว่างการพัฒนาโครงการ ฉันเริ่มเห็นความกลัว ขี้กังวลและลังเลขนาดบิ๊กเบิ้มอาศัยอยู่ในใจของตัวเอง แม้จะทำการบ้านค้นคว้าแหล่งข้อมูลมามากมาย ศึกษากรณีที่คล้ายคลึงกับหัวข้อที่ฉันเลือกไว้มาเยอะแยะ แต่ฉันกลับไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรได้เลย มีแต่ความลังเลไม่แน่ใจ ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกเสียจากความกลัวว่าผลลัพธ์จะไม่สำเร็จ (แต่ปากก็แก้ตัวว่า ไม่รู้ขั้นตอนที่ชัดเจน)<br /><br /> ในเวลานั้น เพียงแค่คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ ของอาจารย์ที่พูดขึ้นมาหลังจากที่ฉันเล่าให้ทุกคนฟังว่าฉันไปทำความรู้จักโครงการไหนมาและชอบแต่ละโครงการอย่างไร อาจารย์เพียงแต่พูดว่า “สำหรับที่นี่ ผมแนะนำว่าน่าไปดู” เท่านั้นเองฉันก็ใจชื้นขึ้น ความกังวลถูกวางพักเอาไว้ก่อน ฉันรีบขอจดหมายอนุญาต วางแผนการเดินทาง และไปเยี่ยมชมโรงเรียนตัวอย่างด้านจัดการของเสียเหลือศูนย์ภายในไม่กี่สัปดาห์<br /><br /> แน่นอนว่า ฉันเขียนข้อเสนอโครงการสำเร็จลงด้วยดี พร้อมกับความรู้สึกที่ไม่ได้โกหกตัวเองว่าฉันเข้าใจเรื่องที่ฉันสนใจนี้มากขึ้นจริงๆ และสิ่งที่ฉันประทับใจไม่มีวันลืมคือคำพูดว่า “น่าไปดู” ที่ไม่บีบคั้น ไม่ชักจูง เป็นเพียงความเห็นเปิดกว้างจากอาจารย์ ฉันได้ตัดสินใจเลือกเองว่าจะไปหรือไม่ และฉันก็ได้ไป … ด้วยตัวเอง<br /><br /> ---------------------------------------<br /><br /> จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ สิ่งที่ฉันอยากบอกก็คือ ครูไม่อาจอยู่กับเราได้ตลอดไป เช่นเดียวกัน พ่อแม่กับลูก เจ้านายกับลูกน้อง หรือระหว่างเพื่อนด้วยกัน <span style="font-weight:bold;">การช่วยเหลือด้วยการกระตุ้น หลอกล่อ ชักจูง ในภาวะเริ่มต้นคงจำเป็นต้องกระทำกันบ้าง แต่นั่นไม่ใช่วิธีเดียวและวิธีสุดท้ายแน่นอน ฉันคิดว่าเป้าหมายสูงสุดของการศึกษา คือ การให้คนแต่ละคนสามารถเหนี่ยวนำตนเองให้กระทำสิ่งใด หรือไม่กระทำสิ่งใด ได้ด้วยตนเองต่างหาก</span> เพราะเมื่อนั้นแล้ว ไม่ว่าใครจะล่อหลอกเขาด้วยสิ่งใด ดูน่าเชื่อถือหรือถูกต้องแค่ไหน เขาก็จะเลือก ด้วยความคิดความเชื่อที่ใคร่ครวญแล้วของตนเอง เขาจะเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตของเขาเอง และเขาจะกระทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มความสามารถที่ตนมี มิใช่เพียงทำให้ได้เท่าที่ผู้อื่นเรียกร้องเขาให้กระทำ<br /><br /> จึงน่าตั้งคำถามยิ่งนักว่า เพราะสาเหตุใดลูกจ้างในบริษัทชั้นนำที่มีค่าตอบแทนสูงๆ หรือนักเรียนในโรงเรียนที่มีเนื้อหาการสอนเข้มข้น ถึงได้เซื่องซึมและไร้เรี่ยวแรงในการเติบโตและเรียนรู้ได้? ผิดวิสัยสิ่งมีชีวิตยิ่งนัก และบทบาทของพ่อ แม่ เพื่อน พี่ น้อง โค้ช เพื่อช่วยให้คนเราเป็นตัวของตัวเอง สามารถโลดแล่นไปในโลกแห่งการกระทำอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้งได้นั้น จะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไร?<br /><br /> อาจารย์เคยกล่าวกับนักศึกษาในชั้นเรียนว่า <span style="font-weight:bold;">“อย่าฆ่าคำถามดีๆ ด้วยคำตอบห่วยๆ”</span> เพราะฉะนั้นฉันจะไม่รีบร้อนด่วนสรุป และหยิบยื่นคำตอบให้ในที่นี้ แต่จะขอยกหน้าที่ให้เราต่างไปพินิจใคร่ครวญคำถามเหล่านี้ต่อด้วยตัวเราเอง หากคุณคิดว่าคำถามเหล่านี้ดีพอนะ<br /><br /> ราตรีสวัสดิ์Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-53928965272116781262009-09-20T07:00:00.000+07:002009-09-20T07:00:01.450+07:00บทความที่ ๑๖๙: เติม (ไม่) เต็ม<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgm0VUlWun6Lff2J5WExmNXkStqjMeAy-Lw5x4OFJ0bVs-6WkMTeN57MAEtzA0JymVKXbqw21Ac60BE2zUJukAM1E9U-NBUd8a-4OAchZ9efPOhncmUrI_Sn2hauiLR_99wcSsNoA/s1600-h/SnailMesodonClausus01.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 268px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgm0VUlWun6Lff2J5WExmNXkStqjMeAy-Lw5x4OFJ0bVs-6WkMTeN57MAEtzA0JymVKXbqw21Ac60BE2zUJukAM1E9U-NBUd8a-4OAchZ9efPOhncmUrI_Sn2hauiLR_99wcSsNoA/s320/SnailMesodonClausus01.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5381719573976859314" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">ภาณุมาศ จีรภัทร์</span><br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา<br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๒<br /><br /> “โจทย์ยากๆ ในชีวิตตอนนี้น่ะเหรอ ก็เรื่องตรงหน้านี่แหละ ยากที่สุดเลย” ฉันตอบคำถามที่ถูกโยนเข้ามาเป็นประเด็นสนทนาในงานเลี้ยงครบรอบวันคล้ายวันเกิดของอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งฉันและพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ร่วมกันจัดขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อน เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่พวกเราไม่ได้มาเจอและพูดคุยกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้หลังจากชั้นเรียนวันสุดท้ายสิ้นสุดลง วันนี้จึงเป็นเสมือนอีกวันหนึ่งที่พวกเราจะได้มาทบทวนการเดินทางที่ผ่านมาของแต่ละคน (ผู้คนในชั้นเรียนของฉันมักจะเรียกการเรียนรู้ทั้งในและนอกชั้นเรียน ตลอดจนชีวิตของพวกเราว่าเป็นการเดินทาง) ได้บอกเล่าแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ให้แก่คนอื่นๆ เพื่อเรียนรู้ร่วมกันอีกครั้ง<br /><br /> นึกย้อนไปถึงการเดินทางที่ผ่านมาในชีวิต มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันอยากจะได้ทำ อยากจะได้เรียนรู้ แต่เมื่อถึงเวลาให้ต้องลงมือทำ ฉันกลับมักจะลังเล และหลายๆ ครั้งก็ลงเอยด้วยการเลือกที่จะไม่ทำ หรือหากฉันเลือกที่จะทำ มันก็ช่างเป็นสิ่งที่ยากเสียเหลือเกิน ไม่ใช่เพียงเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้คนภายนอก แม้แต่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวของฉันเอง กับผู้คนในครอบครัวที่ฉันรัก กับผู้คนต่างๆ ที่ใกล้ชิดและคุ้นเคย กับงานที่ฉันรักและเลือกแล้วที่จะมาทำ หรือแม้แต่กับสิ่งที่ฉันฝันและปรารถนาที่จะทำ จนในหลายครั้งฉันก็รู้สึกถอดใจ ... “เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้ ทำไมฉันถึงทำไม่ได้เสียที” <br /><br /> ฉันแอบเซ็งตัวเองเล็กๆ ที่ครั้งนี้ฉันก็ร้องไห้อีกแล้ว แม้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนกลุ่มนี้ไปแล้วที่ฉันมักจะร้องไห้ เมื่อบอกเล่าเรื่องราวที่อยู่ภายในใจ ฉันเองก็รู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจมากพอที่จะเปิดเผยความคิดความรู้สึกของฉัน นั่นสิ ไม่เห็นว่าจะต้องร้องไห้เลยนี่นา ... และนี่ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ฉันก็ทำไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง<br /><br /> “สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ายากและกังวลใจ ไม่ใช่เพราะว่าไม่ได้ทำ หรือว่าทำสิ่งนั้นไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะความคาดหวังของตัวเอง เพราะรู้สึกว่าอยากจะไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากจะเป็นในสิ่งที่เป็นอยู่ เราก็เลยดิ้นรนและรู้สึกอึดอัด ถ้ากังวลใจเพราะว่ายังไม่ได้ทำจริง เราก็คงจะทำสิ่งนั้นไปแล้ว สิ่งที่เป็นจะเรียกว่าไม่มีวินัยก็ว่าได้ หนทางที่เราจะสามารถเป็นคนที่มีวินัยได้นั้น ต้องเกิดจากการทำบ่อยๆ อย่างจดจ่อต่อเนื่อง และทำด้วยความไม่คาดหวัง ทำไปให้ดีที่สุด และก็ควร ‘ทำทิ้ง’ ไม่ทำด้วยความอยาก ถ้าทำเพราะว่าอยากจะเป็นคนที่มีวินัยมันก็จะหนัก มันก็จะยาก แต่ให้ทำเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ” อาจารย์พูดขึ้นหลังจากที่ฉันพูดจบ<br /><br /> “แล้วการทำด้วยเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ กับการทำเพราะว่าความอยากนี่มันมีหนทางแตกต่างกันยังไงนะ” คำถามหนึ่งเกิดขึ้นมาในหัวของฉัน<br /><br /> แม้ว่าฉันจะรู้สึกคลี่คลายมากขึ้นเมื่อได้ยินอาจารย์บอกพวกเราเกี่ยวกับการเดินทางเพื่อแสวงหาคำตอบสำหรับโจทย์ยากๆ ของพวกเราแต่ละคน ก่อนที่งานเลี้ยงในวันนั้นจะจบลง อาจารย์บอกว่า <span style="font-weight:bold;">“หนทางในการเดินทางน่ะอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้จากการถาม ว่าทางเดินอยู่ตรงไหนเสมอไปหรอกนะ เราสามารถสร้างทางเดินขึ้นมาได้จากการเดินของเราเอง เดินไปเรื่อยๆ เส้นทางมันจะเกิดขึ้นมาเอง”</span><br /><br /> แต่คำถามที่ว่า “แล้วหนทางในการทำด้วยเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ นี่มันเป็นยังไงกันนะ” ก็ยังคงเกิดขึ้นในใจของฉันอยู่เนืองๆ ตลอดทางที่กลับบ้าน<br /><br /> คืนวันนั้น ฉันกลับมาเขียนบันทึกเหมือนเช่นที่เคยทำ จะต่างออกไปก็ตรงที่ครั้งนี้ฉันนึกครึ้มอกครึ้มใจลองเปิดอ่านบันทึกที่เคยเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อต้นปีก่อน จากหน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ก่อนจะเริ่มต้นเขียนบันทึกสำหรับวันนั้น แล้วฉันก็อดแปลกใจกับตัวเองไม่ได้หลังจากอ่านจบ เพราะความหนักอึ้ง งุนงงสงสัย ความไม่แน่ใจ คำถามต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมันได้จางหายไป พร้อมๆ กับความรู้สึกอิ่มเอมใจ คำขอบคุณและชื่นชมยินดีที่ฉันมีให้แก่บุคคลคนหนึ่ง คนที่อยู่กับฉันมาตลอดบนเส้นทางที่ผ่านมาของการเดินทางในชีวิตฉัน<br /><br /> บนเส้นทางที่ผ่านมามีผู้คนมากมายที่ฉันได้ร่วมเดินทาง ได้ร่วมเรียนรู้ มีคำขอบคุณ ความชื่นชมและกำลังใจมากมายที่ฉันเคยได้เอื้อนเอ่ยออกไปแก่เขาเหล่านั้น ทั้งที่เป็นความรู้สึกและคำพูด แต่มีน้อยครั้งเหลือเกินที่ฉันจะได้เอ่ยคำขอบคุณแก่บุคคลคนหนึ่งที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้ ได้บอกกล่าวความชื่นชม และให้กำลังใจในการเดินทางที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ของเขา ... บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับฉันยิ่งนัก<br /><br /> “เมื่อกี้นี้ได้ลองเปิดอ่านบันทึกหน้าต่างๆ ที่ผ่านมา จนมาถึงหน้าที่กำลังเขียนอยู่นี้ บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าดีใจมากๆ เลย แม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นการเดินทางที่ดีอะไรมากมาย แต่ก็เป็นการเดินทางที่งดงามมาก รู้สึกดีใจและชื่นชมการเดินทางที่ผ่านมา และก็อยากจะเป็นกำลังใจให้กับการเดินทางข้างหน้าของตัวเองจริงๆ”<br /><br /> หากจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกๆ ที่ฉันได้กล่าวคำขอบคุณและชื่นชมยินดีกับการเดินทางของตัวเองก็คงจะไม่ผิดนัก<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ฉันมักจะรู้สึกว่าตัวของฉันนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังขาด ยังพร่อง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำสิ่งต่างๆ เพื่อเติมช่องว่างเหล่านั้นให้เต็มและหวังว่าการเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นจะสามารถทำให้ฉันเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ในสักวันหนึ่ง</span> เพื่อว่าฉันจะสามารถเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ได้ สามารถเป็นพี่ที่ดีของน้องๆ ได้ สามารถทำสิ่งต่างๆ เพื่อคนอื่นได้ และสามารถเป็นในสิ่งที่ฉันฝันได้<br /><br /> แต่ทว่า ยิ่งฉันพยายามทำเพื่อเติมช่องว่างเหล่านี้ให้เต็ม การเดินทางก็ดูจะยิ่งยากลำบากขึ้น<br /><br /> ความรู้สึกขอบคุณ ชื่นชม และกำลังใจที่ได้รับมาจากตัวเอง หลังจากได้มาทบทวนการเดินทางที่ผ่านมานั้น ทำให้ฉันรู้สึกว่าช่องว่างที่เคยขาดหายไปนั้นกลับเต็มขึ้นมา การเดินทางที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ดีอะไรมากมาย และยังมีอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่จำเป็นจะต้องทำเพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้นนั้น กลายเป็นสิ่งที่สำคัญ มีคุณค่า มีความหมายและงดงาม โดยไม่จำเป็นจะต้องกลับไปปรับเปลี่ยนหรือแก้ไข <span style="font-weight:bold;">เช่นเดียวกับการเดินทางที่กำลังเกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อเติมช่องว่างเหล่านั้นให้เต็ม หากแต่เกิดขึ้นเพื่อให้ฉันได้ทำในสิ่งที่ควรทำในปัจจุบันให้ดีที่สุด และความเป็นไปได้อื่นๆ ที่ฉันสามารถจะเป็นได้ ก็เป็นสิ่งที่เกิดจะขึ้นเองจากทุกๆ ก้าวที่ฉันเดินทาง</span><br /><br /> “ฉันเองก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าการเดินทางก้าวต่อไปจะเป็นอย่างไร และหนทางของการเดินทางเพื่อตอบโจทย์ยากๆ ของฉันนี้จะเป็นเช่นไร หากแต่คำตอบคงจะอยู่ที่การเดินทางกระมัง และนี่ก็เป็นอีกก้าวหนึ่งของการเดินทาง”<br /><br /> บันทึกในวันนั้นจบลงที่ตรงนี้ หากแต่การเดินทางของฉันก็ยังคงดำเนินต่อไป ในทุกๆ ขณะที่ฉันกำลังก้าวเดินUnknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-9179914761421223072009-09-13T07:00:00.001+07:002009-09-15T22:37:23.302+07:00บทความที่ ๑๖๘: จิตตปัญญา: ทำได้อย่างที่ชวน?<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8Xh_kvkNv1kTZvTYVusC8EEtel5B-ns1pVpbxXgmDC_yCmrqWa-2sZVY8qSblCbI9CA8jSNSr-9R0ZE1gnLXjcY3iefE34h6396whI6YGFNfertsZSPEiv2aBw58UoWiikLmdww/s1600-h/Bubbles.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 240px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8Xh_kvkNv1kTZvTYVusC8EEtel5B-ns1pVpbxXgmDC_yCmrqWa-2sZVY8qSblCbI9CA8jSNSr-9R0ZE1gnLXjcY3iefE34h6396whI6YGFNfertsZSPEiv2aBw58UoWiikLmdww/s320/Bubbles.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5379471049401104466" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">มิชิตา จำปาเทศ รอดสุทธิ</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา<br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๒<br /> <br /> ขับรถกลับจากการพบปะกลุ่มคนทำงานเรื่องจิตตปัญญา ตั้งใจจะฟังซีดีธรรมะที่เปิดคลอไปในรถ แต่จิตใจกลับวิ่งออกนอก คิดถึงประเด็นที่พวกเราค้นพบกันระหว่างวงคุยแลกเปลี่ยน<br /><br /> งานจิตตปัญญาได้รับการตอบสนองและแพร่ขยายไปในหลายวงการทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในวงการศึกษา อาจด้วยความมีประสิทธิภาพของทีมงานและผู้ที่สนับสนุนเกี่ยวข้อง ประกอบกับความต้องการ “น้ำทิพย์ชโลมใจ” ของสังคมที่นับวันจะวุ่นวายมากขึ้น เกิดมีกลุ่มคนอีกจำนวนมากที่ศึกษาเรื่องจิตใจหรือจิตตปัญญากันอย่างจริงจัง ผลักดันให้นำไปใช้ในองค์กร ใช้ในชั้นเรียน หรือใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นกระแสการร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีอีกรูปแบบที่กำลังเกิดขึ้น<br /><br /> กระบวนกรจิตตปัญญา (Facilitator in Contemplative Education) และ/หรือผู้ที่ผลักดันเรื่องนี้ “ทำได้อย่างที่ชักชวนผู้อื่น” หรือ Practice what you preach ได้แค่ไหน เป็นคำถามที่เราตรวจสอบถามตัวเองกันมาเป็นระยะๆ<br /><br /> จากการสอนบริหารคนบริหารองค์กร ผู้เขียนรู้สึกว่าไม่ง่ายที่เราจะปรับพฤติกรรมการบริหารคนของเราเองให้ได้ดีในแนวทางที่เราบอกเล่า แม้ยิ่งทำได้ยิ่งเห็นประสิทธิภาพทั้งกับส่วนรวมและตนเอง ยิ่งเชื่อมั่นในสิ่งที่ชักชวนผู้คน แต่ก็ยอมรับว่าต้องตั้งใจพัฒนาตัวเองอย่างจริงจังทีเดียว ถึงวันนี้ก็ยังเห็นหนทางที่จะสามารถพัฒนาเพิ่มต่อเหลืออีกมาก<br /><br /> การมี “สติ” ทันกับแต่ละขณะของตนเอง ทันต่อพฤติกรรมของตนเอง เข้าใจสถานการณ์จริงของตนเอง เป็นส่วนช่วยอย่างมากให้เราสามารถใช้ “พฤติกรรมอันควร” ต่างๆ ที่ทั้งเรียนทั้งสอนนี้ได้เป็นธรรมชาติ และแน่นอน “หลุด” ก็ยังมีอยู่ให้เห็นเป็นธรรมชาติอยู่ด้วยเช่นกัน<br /><br /> น่าเห็นใจเหล่าผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนกร ผู้ทำงานเบื้องหลัง เบื้องหน้า ช่วยกันผลักดัน สร้างกระบวนการเรื่องดีนี้ให้เกิดขึ้น ท่ามกลางสภาวการณ์ที่ร้อนแรงของสิ่งแวดล้อมสังคม และข้อจำกัดมากมาย ในขณะเดียวกันก็ถูกผู้คนรอบข้าง “คาดหวัง” ว่า “ต้องเป็นคนดี เป็นตัวอย่างที่ดี แบบจิตตปัญญา” อีกด้วย ดูเหมือนเป็นนางแบบเชิญชวนให้ใส่ชุดผ้าไหม ที่กำลังเย็บเสื้อไปแต่งหน้าไป ในขณะที่เดินไปบนแคทวอล์ค และมีผู้ชมยืนดูวิจารณ์อยู่รอบข้าง… น่าเห็นใจ<br /><br /> ถึงกระนั้นการสำรวจตัวพวกเราเองตามจริงก็น่าจะช่วยให้ไม่หลงทางไปไกล ช่วยให้เราเรียนรู้พัฒนาตนเองและเทคนิควิธีต่างๆ ไปในขณะที่ชักชวนผู้คนรอบข้าง ได้ยินเรื่องราวของบางกลุ่มบางคนที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้แนวจิตตปัญญาว่า บางคนชอบอยู่กับความคิดของตนเอง บางคนเชื่อมั่นมากกับความเชื่อบางชุด เครื่องมือบางตัว หรือพยายามชักชวนให้คนทำตาม “แนวทาง” ที่ตนรู้สึกว่าใช่ โดยอาจลืมไปว่าเราแต่ละคนต่างมีความชอบมีจริตทิศทางที่อาจแตกต่างกัน แม้ว่าเราอาจจะมีจุดร่วมหรือแกนหลักบางประการร่วมกันอยู่บ้าง หากใช่ว่าวิธีการอื่น แนวความคิดอื่นจะใช้ไม่ได้ ไม่ดี คนที่ทำแบบอื่นแตกต่างจากที่ “ฉันคิดว่าใช่” นั้นไม่เหมาะสม “ต้องแบบนี้ซิ ... ถึงจะเรียกว่าจิตตปัญญา” ... เป็นจริงอย่างนั้นหรือ<br /><br /> จริงเสมอหรือที่ต้องนั่งล้อมวงคุยกัน<br /><br /> จริงเสมอหรือที่ต้องทำอะไรช้าๆ<br /><br /> จริงเสมอหรือที่ต้องไม่มีใครชี้นำความคิด<br /><br /> จริงเสมอหรือที่ต้องไม่มีเนื้อหาให้มากมาย ใช้กระบวนการให้เรียนรู้<br /><br /> จริงเสมอหรือที่ ...<br /><br /> ผู้เขียนมิได้หมายความว่าสิ่งที่เอ่ยมาไม่ควรทำ และแน่นอนว่าใช้ได้ผลกับคนหลายกลุ่ม หากแต่อาจมีวิธีอื่นอีกมากมายแม้แต่วิธีที่ตรงกันข้ามที่ช่วยให้ผู้คนเรียนรู้ด้านในของตัวเราได้ ... หรือไม่ ลองนึกถึงประวัติศาสตร์หลายพันปีที่คนพัฒนากันมาดู เขามีวิธีอะไรกันบ้าง การเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญมิใช่เพิ่งเกิด ... หรือไม่<br /><br /> เป็นต้นว่าการเทศนาของพระพุทธเจ้าในหลายๆ ครั้ง ภาพสะท้อนจากคัมภีร์คือภาพของครูที่นั่งพูดให้กับผู้เรียนเป็นร้อยเป็นพันคน แทบจะเป็นการสื่อสารทางเดียวหากไม่มีการปุจฉา ผู้เรียนนั่งฟังด้วยใจอยู่กับที่ ไม่มีการขยับเขยื้อนย้ายร่างกายหรือไปนั่งล้อมวงใดๆ จนกว่าจะจบการเทศนา<br /><br /> หรือการเรียนรู้แบบอาจารย์เซ็น ที่ให้ศิษย์เดินตามครูไปไหนต่อไหน พอประสบกับเหตุการณ์สด จึงปล่อยคำถามหรือประโยคสั้นๆ ที่แทงตรงประเด็นเพียงประโยคเดียว ช่วยพลิกให้คนเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างถาวร<br /><br /> หรือวิถีปฏิบัติของหลายนิกาย ที่ผู้ฝึกต้อง “เข้าเงียบ” อยู่คนเดียว ตัดการปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกเป็นเวลานาน พร้อมกับฝึกปฏิบัติตามวิถีของตนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในแต่ละขั้นตอน<br /><br /> หรือการพัฒนาจิตใจด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นแบบฉือจี้ ที่อาสาสมัครผู้มีจิตอาสาร่วมแรงร่วมใจกันไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ ทำความสะอาดผู้ป่วย เก็บแยกขยะ ให้บริการผู้คนในโรงพยาบาล ...<br /><br /> ฯลฯ ... หลากหลายวิธีและวิถีแห่งการฝึกตนสู่ผลทางจิตวิญญาณ<br /><br /> อย่างที่ชาวจิตตปัญญาทราบกันดีอยู่แล้วว่ามุมมองต่อโลก (worldview) หรือกรอบความคิด (paradigm) มีผลต่อความคิดความเชื่อของเราแต่ละคน จนอาจทำให้เราเผลอไปตัดสินว่าผู้อื่นที่มิได้อยู่ในกรอบเดียวกับเราว่า “ไม่ใช่” ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นจริงกับแม้แต่ในเรื่อง “จิตตปัญญา” เอง ทันทีที่เรารู้ทันและสำรวจมุมมองต่อโลกของเราชัดเจน การใช้กรอบความคิดเหล่านั้นน่าจะเป็นไปอย่าง “เท่าทัน” มิได้ใช้ไปอย่างหลงลืมหรือเผลอตัว<br /><br /> จากเรื่องมุมมองสู่พฤติกรรมของเราแต่ละคน การฝึกปรือตนไปพร้อมกับการเดินทางชักชวนจัดกระบวนการให้ผู้คนเป็นเรื่องท้าทาย ... พวกเราทำอย่างที่ชักชวนคนอื่นกันได้ ... หรือไม่ แค่ไหน อย่างไร<br /><br /> เราชวนให้ผู้คนรักและเมตตาต่อกัน ... เรารักและเมตตากันเองหรือไม่<br /><br /> เราชวนให้ผู้คนอภัยต่อกัน ... เราให้อภัยกันเองแค่ไหน<br /><br /> เราชวนให้ผู้คนใช้ชีวิตสมดุล หัว-กาย-ใจ ... เราสมดุลตัวเองได้เพียงใด<br /><br /> เราชวนให้ผู้คนย้อนดูตัวเอง เข้าใจตระหนักรู้ตัวเอง ... เราดูหรือไม่ บ่อยแค่ไหน<br /><br /> เราชวนให้ผู้คนคุยกันด้วยความสุนทรียะ ฟังกันมากขึ้น ... เราทำระหว่างกันด้วยหรือไม่<br /><br /> เราชวนให้ผู้คนฟังคนโดยไม่ตัดสิน ... เราตัดสินคนเร็วไปบ้างหรือไม่<br /><br /> เราชวนให้ผู้คนเข้าใจเบื้องหลังกรอบความคิดหรือมุมมองต่อโลกที่บิดเบือนข้อเท็จจริงที่ได้รับ ... เรารู้ทันหรือไม่<br /><br /> เราชวนให้ผู้คนลดอัตตาตัวตน ... เรายังมีอยู่เพียงใด<br /><br /> เราชวนให้ผู้คน ...<br /><br /> ...<br /><br /> ยังมีคำถามอีกมากมายรอชาวจิตตปัญญาค้นหา ...<br /><br /> วิถีแห่งจิตตปัญญานี้คงมีทั้งความงดงามและขวากหนาม หากแต่การเรียนรู้และพัฒนาตนไปพร้อมกับการส่งผ่านชักชวนเพื่อนร่วมทาง เป็นเป้าหมายอยู่ในกระบวนการ หาใช่เป็นเพียงหนทางไปสู่เป้าหมายใดเท่านั้น ... หรือไม่<br /><br /> ระหว่างการเดินทางของพวกเราผู้สนใจเรื่องภายใน หาใช่ว่าผู้อื่นที่มิได้เรียกตนว่าจิตตปัญญา มิได้เดินอยู่ในหนทางเดียวกับเรา ... ใช่หรือไม่ หาใช่ว่าผู้อื่นที่มิได้เรียกตนว่าจิตตปัญญา มิได้มีความรู้เรื่องการพัฒนาจิตใจ ... ใช่หรือไม่ ใครต่อใครก็เป็นครูแก่เราได้ ... ใช่หรือไม่<br /><br /> ความคิดสร้างสรรค์ของชาวจิตตปัญญา ที่ทำให้เรื่องพัฒนาจิตใจจิตวิญญาณเป็นขนมหวานสำหรับคนทั่วไปเป็นเรื่องน่าชื่นชม หากเส้นเขตแดนของความแหวกแนวยังมีอยู่ที่ศีลหรือการประพฤติที่ไม่ผิดปกติสุข คือไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน...ใช่หรือไม่<br /><br /> เรื่องราว คำถามมากมาย ซึ่งรอการค้นหา ค้นพบ ด้วยตัวเราเอง เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันของทุกคน<br /><br /><span style="font-weight:bold;"> เราทำได้อย่างที่ชักชวนเพียงใด ... จิตตปัญญา</span>Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-60747260045402522352009-09-06T07:00:00.000+07:002009-09-06T07:00:00.678+07:00บทความที่ ๑๖๗: ไปปลูกศรัทธากันไหม<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEig5Z7_choy62m-5dKSdOm0SO8td-8HRLjg3UFZ243lHIafalra8l8Z_rNc4c3m8VwWGEsBRVZqNECTfs093r-Zj-Gq7LdWP4EsSWk8tsrK-1LMzAd6PCVBwAAGdb0a9LCEPXEkWA/s1600-h/Plant.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 300px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEig5Z7_choy62m-5dKSdOm0SO8td-8HRLjg3UFZ243lHIafalra8l8Z_rNc4c3m8VwWGEsBRVZqNECTfs093r-Zj-Gq7LdWP4EsSWk8tsrK-1LMzAd6PCVBwAAGdb0a9LCEPXEkWA/s320/Plant.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5376503499815931842" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">กิติยา โสภณพนิช</span><br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา<br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๒<br /><br /> ในรอบปีสองปีที่ผ่านมา คุณเคยได้ปลูกต้นไม้ (เพื่อลดโลกร้อน) ไปบ้างหรือยัง<br /><br /> ถ้าเคย คุณจำได้หรือไม่ว่า ปลูกต้นอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ตอนนี้ต้นไม้เหล่านั้นยังมีชีวิตรอดปลอดภัยดีอยู่หรือไม่ และมันกำลังช่วยลดโลกร้อนอยู่จริงหรือ<br /><br /> ผู้เขียนเป็นคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่จับพลัดจับผลูมาทำงานในองค์กรที่ทำหน้าที่อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้โดยตรง หน้าที่ของผู้เขียนคือ หาวิธีการสร้างสรรค์ที่จะพา “คน” กับ “เงิน” มาเจอกันเพื่อให้เกิดพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นในประเทศไทย<br /><br /> ผู้เขียนเข้ามาทำงานกับองค์กรนี้ได้ประมาณสองปี ซึ่งถือเป็นช่วงเดียวกันกับที่กระแสโลกร้อนถูกโหมกระหน่ำไปทั่วทุกมุมเมือง มีผู้คนจำนวนไม่น้อยติดต่อเข้ามาขอร่วมกิจกรรมปลูกป่ากับเรา ใครต่อใคร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม ทหาร ตำรวจ แพทย์ พยาบาล หรือ นักเรียน ต่างพากันมาช่วยลดโลกร้อนด้วยการปลูกต้นไม้ การปลูกต้นไม้กลายเป็นประสบการณ์เพื่อสังคมยอดฮิต ติดอันดับท็อปเท็น แต่เชื่อหรือไม่ว่า โดยส่วนตัวแล้วเท่าที่จำได้ ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ผู้เขียนปลูกต้นไม้ด้วยมือของตัวเองจริงๆ ไปเพียงประมาณ 2 ต้น ซึ่งผู้เขียนก็จำไม่ได้แล้วว่าเป็นต้นอะไร อยู่ที่ไหน และยังมีชีวิตอยู่หรือไม่<br /><br /> เวลาเราเล่าให้ใครต่อใครฟังถึงงานที่ทำ เราจะบอกเสมอว่า เราปลูกป่าอยู่ที่นู่น ... ต่างจังหวัดไกลๆ ที่ไหนสักแห่ง เราทำให้ชาวบ้านเจ้าของพื้นที่หวนกลับมารักและดูแลบ้านเกิดของเขาได้ ทำให้เขามีกินมีใช้จากการปลูกป่า และที่สำคัญที่สุด เราทำให้เขาเห็นถึงคุณค่าของป่าไม้ เราได้ปลูกต้นไม้ลงบนผืนดินไปพร้อมๆ กับการปลูกต้นไม้ลงในใจของชาวบ้านเหล่านั้น<br /><br /> แต่ผู้เขียนเองไม่อาจพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ได้ปลูกต้นไม้ลงในใจของตัวเองสำเร็จแล้ว<br /><br /> เพราะดูจากการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเอง ทั้งในเวลางานและนอกเวลางาน ผู้เขียนใช้กระดาษไม่ต่ำกว่า 5 รีมต่อเดือน เสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ตลอดคืน ยังขับรถไปทำงาน ใช้น้ำมันเบนซิน 95 นอนเปิดแอร์ทั้งคืน เดินซื้อของตามห้างสรรพสินค้า ใช้ถุงพลาสติก กินข้าวจากกล่องโฟมบ้างเป็นบางครั้ง บริโภคไฟฟ้า น้ำ และทรัพยากรต่างๆ นานา อย่างไม่ค่อยต้องคิดหน้าคิดหลัง และส่วนใหญ่ก็ยังคงนำขยะ ทั้งที่ย่อยสลายได้และย่อยสลายไม่ได้อีกเป็นจำนวนหลายตันต่อเดือน ยัดใส่ลงถุงดำรวมกันแล้วนำส่ง กทม.<br /><br /> แม้เรารู้ว่ากระดาษมาจากต้นไม้ ครูเคยสอนว่าป่าไม้ทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล กทม. บอกให้เราแยกขยะเปียก ขยะแห้ง และขยะอันตรายก่อนเอามาวางไว้หน้าบ้าน แต่เราไม่เข้า-ใจ เข้าไม่ถึง เราจึงยังคงใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างไม่รู้คุณค่า เหมือนที่เด็กยุคใหม่เข้าใจว่า น้ำมาจากก๊อก เงาะมาจากตู้เย็น ชีวิตคนในปัจจุบันดำเนินไปอย่างแยกส่วน ทำให้เรามองไม่เห็นโยงใยความเชื่อมโยงของชีวิตแต่ละชีวิต กิจกรรมการปลูกต้นไม้จึงกลายเป็นกิจกรรมตัดตอนที่เหลือแต่การปลูก ไอ้ที่มาก่อนหรือหลังการปลูกไม่อยู่ในขอบข่ายที่เราจำเป็นต้องรับรู้ หรือสนใจ จึงไม่น่าแปลกใจที่แม้เราจะรณรงค์เรื่องการปลูกต้นไม้ลดโลกร้อนมากแค่ไหน แม้จะมีคนเมืองเดินทางไปปลูกป่ามากแค่ไหน จำนวนต้นไม้มันก็ยังไม่เพิ่มขึ้นให้เราชื่นใจสักที ไม่ต้องพูดถึงจิตสำนึกที่เราหวังว่าคนเหล่านี้จะได้ติดตัวกลับไปที่บ้านด้วย<br /><br /> หรือเราต้องกลับไปใช้ชีวิตอย่างในอดีตรุ่นคุณตาคุณยายยังเด็ก ถึงจะรู้ซึ้งถึงคุณค่าของสรรพสิ่งรอบตัว<br /><br /> หรือเราต้องรอให้มีอีกสัก 10 สึนามิ เราถึงจะรู้ซึ้งถึงคำว่าอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน<br /><br /> จะเปลี่ยนมุมมอง ฝืนความเคยชินเดิมๆ และฝึกพฤติกรรมใหม่ๆ ให้กับตัวเองได้อย่างไร กลายเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะสำหรับคนในยุคนี้อย่างผู้เขียน ที่ยังคงติดหนึบอยู่กับความสะดวกสบายอย่างไม่รู้ตัว และโดนกระตุ้นเร้าจากสื่อต่างๆ ที่ล้วนแต่โหมบอกให้เราบริโภคมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา<br /><br /> ท่าน ว. วชิรเมธีได้พูดไว้ชัดเจนในหนังโฆษณาทางโทรทัศน์ชุดหนึ่งว่า หากเราต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศ เราต้องกลับมาถามตัวเองว่าแล้วเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเราได้บ้าง<br /><br /> ผู้เขียนขอถามต่อว่า แล้วอะไรจะเป็นแรงผลักดันให้เราอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง<br /><br /> ถามคนเป็นแม่อาจตอบว่าลูก ถามนักธุรกิจอาจตอบว่าผลกำไร ถามคนเป็นมะเร็งอาจตอบว่าความตาย ถามคนที่ปฏิบัติภาวนาอาจตอบว่าศรัทธา<br /><br /> ศรัทธาในพุทธศาสนาหมายถึง ความเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล เป็นความเชื่อที่มาจากการวิเคราะห์ด้วยปัญญา<br /><br /> โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า <span style="font-weight:bold;">ศรัทธาที่ถือเป็นรากฐานสำคัญของการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง (ในทางที่ดี) ก็คือ ศรัทธาในความดีงามของมนุษย์</span> คือ ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่พัฒนาได้ มนุษย์สามารถฝึกและฝืนใจตนเองได้ เมื่อมีศรัทธาตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นแล้ว นั่นหมายถึงว่า เราย่อมศรัทธาในตนเองว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ (เพราะเราเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง) ศรัทธาในเพื่อนมนุษย์ว่าเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ และมีความเชื่อมั่นว่าการกระทำทุกอย่างของเรา ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนย่อมมีผลอันยิ่งใหญ่เสมอ<br /><br /> ล่าสุดผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยี่ยมเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเป็นครั้งแรกในชีวิต บางท่านที่เคยไปห้วยขาแข้งมาแล้วอาจจะเห็นด้วยกับผู้เขียนว่า ห้วยขาแข้งมีพลังดีๆ ซ่อนอยู่ ส่วนหนึ่งคงเป็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่โอบล้อมเรา ห้วยขาแข้งถือได้ว่าเป็นผืนป่าที่สมบูรณ์ที่สุดผืนหนึ่งในโลก และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกในปีพุทธศักราช 2534 วันนั้นผู้เขียนได้มีโอกาสเดินอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ได้พักสายตาไปกับสายน้ำที่ค่อยๆ ไหลรินไปตามลำห้วย ได้เห็นลูกสุนัขจิ้งจอกเหลียวหลังแลมองกลุ่มคนแปลกหน้าอย่างเราก่อนจะวิ่งตามแม่มันไป ได้ฟังเสียงชะนีร้องตอนเที่ยง ได้ชมโฉมนกหัวขวานเขียวตะโพกแดง<br /><br /> ได้หยุดตั้งคำถามและอยู่นิ่งๆ กับความงามของธรรมชาติ<br /><br /> แต่อีกส่วนหนึ่งผู้เขียนก็ขอสรุปเอาเองว่ามันน่าจะเป็นพลังจากแรงศรัทธาในความดีงามที่คุณสืบ นาคะเสถียรได้จุดประกายเอาไว้ และถูกสานต่อเรื่อยมาโดยคนรุ่นหลังที่ก้าวเดินตามแนวทางของคุณสืบ<br /><br /> วันนั้นผู้เขียนค้นพบความจริงว่า <span style="font-weight:bold;">ธรรมชาติไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล แต่อยู่ใกล้เสียจนบางครั้งเรามองไม่เห็น</span><br /><br /> วันนี้ผู้เขียนนั่งอยู่ในวงประชุมสรุปกิจกรรมค่ายเยาวชนที่จะจัดขึ้นช่วงสิ้นเดือน เสียงก่อสร้างคอนโดขนาดใหญ่ดังอยู่ด้านหลัง ห้วยขาแข้งกลายเป็นสถานที่ห่างไกลจนเหมือนไม่มีอยู่ มีคนตั้งคำถามขึ้นมาว่า เราจะทำอย่างไรให้เยาวชนรู้สึกผูกพันกับต้นไม้ที่พวกเขาจะได้ปลูก รู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมัน และรู้สึกอยากที่จะกลับไปดูแลเยี่ยมเยียนมัน ผู้เขียนแอบคิดกลับไปถึงห้วยขาแข้ง และพลังดีๆ ที่ธรรมชาติได้ส่งให้เรา คำถามมันน่าจะอยู่ที่ว่า แล้วเราจะทำอย่างไรให้เยาวชนเหล่านี้เกิดศรัทธาในตัวเองว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเราอาจจะถามลึกไปอีกว่า <span style="font-weight:bold;">แล้วเราเองได้ปลูกต้นศรัทธาให้หยั่งรากลึกลงในใจของเราหรือยัง</span><br /><br /> ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ ไปจัดค่ายคราวนี้จะไม่พลาดกิจกรรมปลูกต้นไม้ คราวนี้จะไม่สักแต่ว่าปลูกให้เสร็จ แต่จะปล่อยให้มือได้สัมผัสดินชื้นๆ ให้ใจได้ปล่อยวางจากคำถามมากมาย ... สักครั้ง<br /><br /> มาปลูกต้นไม้กันไหมคะUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-18005415356681786482009-08-30T07:00:00.001+07:002009-08-30T07:00:00.630+07:00บทความที่ ๑๖๖: เมื่อเหงาผ่าน<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihXNMThPXAHHssoKBbVVQCjnMI2k4cFb6nVK_D9ODeqruvWBK1DclB39vtgjqGljxaln7yAGVb_kbdxcf7n3IhwnG-rlmKajMVzcKvryFtY0cR_g25lftAbXkmwYp0O2Dt0Onhbg/s1600-h/Lonely_by_Brooklyn_Burning.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 300px; height: 216px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihXNMThPXAHHssoKBbVVQCjnMI2k4cFb6nVK_D9ODeqruvWBK1DclB39vtgjqGljxaln7yAGVb_kbdxcf7n3IhwnG-rlmKajMVzcKvryFtY0cR_g25lftAbXkmwYp0O2Dt0Onhbg/s320/Lonely_by_Brooklyn_Burning.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5375376252931962354" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">เจนจิรา โลชา</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒<br /><br /> ช่วงที่ผ่านมา ดิฉันรู้สึกเหงาจับใจ ความเหงาคงค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในหัวใจอย่างเชื่องช้ามานานแล้ว กว่าจะรู้สึกตัวอีกที น้ำตาก็ไหลรินออกมาขณะที่นั่งรถตู้กลับบ้าน โลกที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ทำไมเรารู้สึกเหงาเศร้าและเดียวดายเหลือเกิน<br /><br /> มองไปทางใดก็มีผู้คนมากมาย แต่คนเหล่านั้นมีตัวตนก็เหมือนไร้ตัวตน มองไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเรากับคนอื่น ทุกคนต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ไม่สามารถเข้าถึงกันได้ ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต่างมุ่งหน้าก้าวไปยังจุดหมายของตนเอง โดยไม่มีใครเหลือบแลผู้อื่นเลย หรือเป็นเพียงเพราะว่ามนุษย์ใช้ความสัมพันธ์ในการเข้าถึงและเกี่ยวโยงกัน ในขณะที่เราอยู่ท่ามกลางหมู่ชน บนถนน ตรงป้ายรถประจำทาง ในรถตู้ หัวใจก็เริ่มว่างหวิวที่รับรู้ได้ว่า ตัวตนของเราได้สูญหายไป เราไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนเหล่านั้นได้ เราจึงรู้สึกเหงาเท่านั้นเอง <br /><br /> ขณะที่ความเหงาส่งกลิ่นตลบอบอวลในหัวใจ เสียงต่างๆ ก็ดังขึ้นในหัว “โทรหาเพื่อนสิ” “ไปดูหนังดีกว่า” “แวะไปทานข้าวที่บ้านพี่สาวท่าจะดี” เสียงเหล่านี้ต่างเชื้อเชิญให้เราออกจากความเหงา โดยการหันไปทำบางสิ่งบางอย่างแทน ล้วนเป็นสิ่งสนุกสนานเพลิดเพลินที่จะทำให้เราหลงลืมความเหงาที่ผ่านเข้ามาอย่างแน่แท้ แต่ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นภายในใจ “ลองอยู่กับความเหงาเถอะ อย่าได้หลบหลีกมันอีกเลย มันมีอยู่ในตัวเรา” ใจก็เริ่มลังเล สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าจะลองจับเข่านั่งพูดคุยกับความเหงาดูสักครั้ง จะได้รู้ว่าความเหงานั้นน่ากลัวอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า<br /><br /> ความเหงาที่เกิดขึ้นอาจจะดูคล้ายกับว่า เรากำลังอ่อนแอ หรือเปราะบางภายในใจ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพราะเราก็สามารถเหงาเศร้า อ่อนแอและเปราะบางได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราหลบเลี่ยงที่จะสัมผัส รับรู้ว่ามันมีอยู่เท่านั้นเอง แต่หากว่าเราลองเข้ามาสัมผัสใกล้ชิดกับความเหงา ความเหงานั้นกลับถูกเติมเต็มด้วยความใส่ใจ ไม่ว่างโหวง แต่เต็มอิ่มอยู่ในใจ ความเหงาเศร้าก็จะจางคลายลงด้วยตัวของมันเอง<br /><br /> ก็คงต้องยอมรับตามตรงว่า กลัวความเหงา ความเศร้า ไม่อยากอยู่คนเดียว เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าตัวเองว่าง ก็มักจะหาอะไรบางอย่างทำอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะได้ไม่ต้องพบเจอหรือสัมผัสถึงความรู้สึกเหงา และอยู่อย่างโดดเดี่ยว กิจกรรมต่างๆ ที่สรรหาขึ้นมาทำ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง จัดเก็บห้อง ไปพบเจอเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ สิ่งเหล่านี้มักเป็นตัวที่ช่วยลบเลือนความเหงาในใจให้จางคลายลง แต่ก็คงต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า ที่จริงแล้วเราหนีไม่พ้นความเหงาเศร้าและความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายนี้เลย อาจเป็นเพราะมนุษย์มีเมล็ดพันธุ์แห่งความเหงาเศร้านี้อยู่ในตัวอยู่แล้ว และมันก็พร้อมจะโผล่ปรากฏออกมาทุกเมื่อ เพียงแต่ว่าเมื่อใดที่มันแค่แง้มบานประตู เราก็พร้อมจะปิดประตูลงแรงๆ อย่างรวดเร็ว อีกทั้งล็อกประตูอย่างแน่นหนา แล้ววันหนึ่งเสียงแห่งความเหงาเศร้า ก็จะมาเคาะประตูเรียก เคาะดังขึ้นๆ ถี่ขึ้นๆ คงขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกจะรับฟังเสียงเคาะเรียกนั้นและเปิดประตูต้อนรับมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง<br /><br /> หากจะอ้างว่าการดำเนินชีวิตกลางกรุง ทำให้เราเกิดความเหงาโดดเดี่ยวภายในเช่นนี้ ก็ฟังดูคล้ายจะโทษความขุ่นมัวสิ่งที่ไม่ดีไปให้กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในเมืองหลวงไปเสียหมด จริงอยู่ที่การเป็นอยู่แบบตัวใครตัวมัน ไม่มีใครใส่ใจใคร การอยู่กับตัวเองมากเกินไปจนกลายเป็นเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ทำให้เรามองไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเรากับผู้อื่นและสรรพสิ่ง แต่นี่อาจเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเหงาขึ้นภายในใจของผู้ในกลางเมืองใหญ่เท่านั้น และมีเหตุของความเหงาอีกมากมายที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละคน อกหัก พลัดพรากจากคนที่เรารัก การสูญเสียบางอย่างไป การเปลี่ยนจากสถานที่เดิมไปยังอีกแห่ง หรือสถานการณ์เดิมไปสู่อีกสถานการณ์หนึ่ง การไม่ได้อยู่ในสถานที่หรืออยู่กับคนที่เราคุ้นเคย บรรยากาศ สิ่งรายล้อมล้วนส่งผล กระตุ้นต่อมความเหงา ปลุกเมล็ดพันธุ์แห่งความเศร้าที่มีอยู่ในตัวเราให้ลุกขึ้นมาทำงานอยู่เสมอ<br /><br /> แม้กระทั่งความรู้สึกเหงาเศร้าจากการที่เราต้องการการดูแลเอาใจใส่ การรับฟังจากคนบางคน แต่เราเองก็ไม่กล้าร้องขอการดูแลและการรับฟังนั้น ไม่ว่าจะด้วยการที่เราปิดกั้น ไม่ไว้วางใจ หรือขาดพื้นที่ในการพูดคุย สุดท้ายลึกๆ เราต่างโหยหาความสัมพันธ์ แต่ไม่รู้ว่าจะสร้างหรืออยู่กับความสัมพันธ์นั้นอย่างไร และยิ่งรู้สึกเหงาเพิ่มขึ้นอีกทบทวีเมื่อพบว่าไม่มีใครสนใจรับรู้ว่าเรากำลังเหงาอยู่ อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าเรากำลังเหงา แต่เราก็ไม่บอกเล่าถึงความเหงาของเราออกไป เป็นการเรียกร้องที่ไม่เปล่งเสียง โหยหาแต่ก็ไม่เอื้อมมือออกมาไขว่คว้า คาดหวังเพียงใครสักคนจะผ่านเข้ามารับรู้ถึงความเหงาของเราได้เอง สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ความเหงาที่เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์กลายเป็นความเจ็บปวดของความเหงา<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ทุกคนเกิดมาล้วนมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง มีประสบการณ์อันลึกซึ้งในการดำรงชีวิตของเรา</span> มีความรู้สึก มีทุกข์สุข ความเจ็บปวดต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่อาจจะมารับรู้ร่วมกับเราได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะทำให้คนอื่นได้เข้ามาร่วมรับรู้ถึงประสบการณ์ความรู้สึกภายในใจของเรา ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน ถึงแม้เราจะบอกเล่าแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นออกไปให้คนอื่นได้ร่วมรับรู้ แต่มันเป็นเพียงการบอกให้ผู้อื่นได้รับทราบเท่านั้น หลายๆครั้งที่เราพบเจอกับคนที่มีประสบการณ์ร่วมหรือคล้ายกันกับเรา แล้วเราก็พบว่ามีบางส่วนเท่านั้นที่คล้ายคลึงกับเรา แต่ไม่ใช่ทั้งหมด มันจึงเป็นเรื่องเหงาๆ ที่น่าเศร้าเหลือเกิน ที่เราไม่อาจเรียกร้องใครให้เข้าใจเราได้แม้กระทั่งคนเดียว<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ในความโดดเดี่ยว ชีวิตของเราก็ต้องดำเนินอยู่บนเส้นทางที่ต้องเป็นไปของเราแต่ละคน เบื้องหลังชีวิตไร้ซึ่งสิ่งที่เราจะเกาะเกี่ยวหรือพึ่งพิงได้ เราไม่สามารถยึดใครหรือสิ่งใดได้เลยในโลกนี้ แม้แต่พ่อแม่ คนรัก ลูก ถึงจะมีความเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันระหว่างเรากับผู้คนเหล่านี้ แต่ท้ายที่สุดทุกคนต่างต้องมีวิถีที่ดำเนินไปของตัวเอง</span> ทางพุทธศาสนาจึงสอนให้เรายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แต่สิ่งเหล่านี้ช่างเป็นนามธรรม ไม่อาจจับต้องและยากที่จะเข้าถึงได้เสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เราจึงยิ่งรู้สึกเหงาเศร้าและอ้างว้าง หรือแท้ที่จริง... ความเหงาเศร้านี่ อาจเป็นสิ่งธรรมดาของชีวิต เพียงแต่เราหวาดกลัวที่จะรับรู้ว่า ชีวิตเดียวดายและไร้ที่ยึดเกี่ยวเช่นนี้ก็เป็นไปได้<br /><br /> หากลองปล่อยให้ความเหงาเศร้าได้ออกจากห้องที่เราปิดซุกซ่อนมันไว้บ้าง ให้ชีวิตได้เต้นรำคู่กับความโดดเดี่ยวดายเดียวในบางครา เราอาจพบว่าเมื่อความเหงาได้ผ่านมาในหัวใจ มันไม่ได้เจ็บปวด น่ากลัวแต่อย่างใด มันมาเพียงเพื่อผ่านไป และอาจจะย้อนกลับมาเยือนใหม่ได้เสมอเฉกเช่นทุกความรู้สึก ทุกประสบการณ์ ทุกคนและทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราก็เป็นได้ <br /><br /> แต่นั่นไม่ได้ความหมายว่า เมื่อเกิดความเหงาแล้วเราจะจัดการลบมันไปอย่างง่ายดายด้วยการไปทำอย่างอื่นแทน อย่าให้ความเหงาเป็นเพียงแค่ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้น หากลองดื่มด่ำรับรู้ถึงรสชาติของความเหงาและเรียนรู้กับวาระแห่งความเศร้าที่เข้ามาและผ่านไปนั้น ปล่อยให้เสียงแห่งความเหงาได้เอื้อนเอ่ยบอกความนัยแห่งชีวิตเมื่อยามชีวิตผ่านในความเหงา ดีใจนะที่ได้พบเจอกัน ... ความเหงาUnknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-63415611657474200882009-08-22T19:00:00.000+07:002009-08-22T19:49:53.002+07:00บทความที่ ๑๖๕: ฤดูกาลแห่งปริญญา<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc5ur7SxDLf6sKcg7UoE-v-ddPrTM74y9A9CySgMJkNbqWfOFWk1b7zb_0wGPOq6gKSSap4Qc44YJ8sS-vX0RUa-A_ztKB6ohi5lBlWFjs1fixhuojT68YtLTkolDIs-7MErmDlw/s1600-h/malaysia_university_graduation_ceremony_online_usm_utm_ukm_um_upm.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 320px; height: 248px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc5ur7SxDLf6sKcg7UoE-v-ddPrTM74y9A9CySgMJkNbqWfOFWk1b7zb_0wGPOq6gKSSap4Qc44YJ8sS-vX0RUa-A_ztKB6ohi5lBlWFjs1fixhuojT68YtLTkolDIs-7MErmDlw/s320/malaysia_university_graduation_ceremony_online_usm_utm_ukm_um_upm.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5371578288752504642" border="0" /></a><br /><br />โดย <b>เพ็ญจุรี วีระธนาบุตร</b><br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา<br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๒<br /><br /> “รับปริญญาฯ เหรอ ไม่เอาหรอก ไม่เห็นจะอิน แถมร้อนก็ร้อน คนก็เยอะ ขอไม่ไปรับได้ไหม” ความคิดแรกของฉันผุดขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าอีกสองเดือนจะต้องเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร ผิดกับคนรอบข้างต่างพากันตื่นเต้นและเตรียมพร้อมกับช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึง ฉันไม่ยอมลงทะเบียนเข้าพิธีฯ และยังบ่นกับคนรอบข้างไปหลายต่อหลายครั้งว่า ไม่อยากไป ไม่อยากไป<br /><br /> จนกระทั่งฉันไปบ่นกับพี่ผู้น่ารักคนหนึ่งซึ่งมาจากเชียงราย แต่สิ่งที่พี่คนนั้นบอกฉันกลับมาคือ “รับเถอะ ถือว่ารับปริญญาเป็นของขวัญให้พ่อกับแม่ไง” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉันจึงเปลี่ยนใจและกลับมาลงทะเบียน ช่วงเวลานั้น ฉันพยายามไม่หันไปมองความคิดเดิมที่ยังแทรกเข้ามาบ้างในบางเวลา และพยายามเอาความคิดที่ว่า “แค่สามวันเอง จะทำเพื่อพ่อแม่ไม่ได้เลยหรือไง” เข้ามาแทน<br /><br /> ฉันไปซ้อมรับพระราชทานปริญญาฯ วันแรกด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เหมือนตัวเองกำลังพยายามทำในสิ่งที่ถูกที่ควร แต่เมื่อฉันเข้าไปนั่งในห้องบรรยายที่แสนคุ้นเคยและดูวีดิทัศน์พิธีพระราชทานปริญญาบัตรของรุ่นพี่ปีก่อนๆ ความรู้สึกที่ไม่คาดฝันก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา “ว้าว เท่ห์” วีดิทัศน์ฉายภาพของบัณฑิตใหม่ที่กำลังเดินเรียงแถวออกมาอย่างสง่างาม เปิดคลอกับเสียงเพลงประจำมหาวิทยาลัยที่เราทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี<br /><br /> วันที่สองของการซ้อมรับปริญญา วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้ลองสวมเสื้อครุยเป็นวันแรก และเพราะเหตุนี้เอง ฉันจึงใส่บางส่วนของเสื้อครุยไม่เป็น จนต้องให้แม่ น้อง และเพื่อนๆ ในภาควิชาช่วยกันยกใหญ่ ฉันรู้สึกขอบคุณทุกๆ คนที่ไม่รำคาญความประมาทของฉัน ช่วงเวลาแรกที่ฉันอยู่ในเสื้อครุยและกำลังเดินไปที่หน้าห้องอรุณอัมรินทร์ซึ่งเป็นห้องที่ทุกคนจะได้รับพระราชทานปริญญาบัตร ฉันรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ไม่คาดฝันอีกครั้งหนึ่งคือ รู้สึกดูดีและเท่ห์มาก ฉันรู้สึกว่าขณะที่ฉันกำลังเดินผ่านกลุ่มผู้ปกครองและญาติที่มานั่งรอบุตรหลาน ฉันเดินด้วยบุคลิกที่ดีกว่าเวลาเดินทั่วๆ ไป จนถึงตอนเย็น ก็มีน้องและเพื่อนมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ฉันรู้สึกได้ถึงความดีใจที่เปล่งประกายในช่วงเวลานั้น วันนั้นฉันยิ้มทั้งวัน และความรู้สึกเหล่านี้ ก็ไม่ต่างไปจากวันที่เข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรวันจริง<br /><br /> ในช่วงเวลาที่ฉันกำลังสนุกสนานกับกลุ่มเพื่อนและอยู่ในบรรยากาศของการแสดงความยินดี ฉันยังคงมีคำถามขึ้นมาในห้วงความคิดความรู้สึก ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นประโยคคำถามที่ชัดเจน แต่เป็นความรู้สึกแปลกๆ และเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ตรงที่ฉันรู้สึกว่าความดีใจที่เปล่งประกายยามที่อยู่ในเสื้อครุยนั้น มันช่างรวดเร็วและฉับพลันมากเหลือเกิน เพราะเมื่อฉันกลับมาที่บ้าน และเปลี่ยนจากเสื้อครุยเป็นเสื้ออยู่บ้านที่ฉันใส่ทุกวัน ความรู้สึกของความดูดีและเท่ห์นั้น ได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว จนฉันเองยังตกใจ<br /><br /> <span style="font-weight: bold;">ความรู้สึกนั้นจึงทำให้ฉันเห็นมิติอีกด้านหนึ่งของเสื้อครุย ว่ามันทำให้ฉันหลงไปได้มากขนาดไหน หลงไปกับคำว่า บัณฑิตใหม่ หลงไปกับความดูดีและเท่ห์ หลงไปกับความรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนักที่สามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นปัญญาชน</span> ฉันลืมเนื้อลืมตัวไปอยู่กับเสื้อครุยทั้งวัน ฉันคิดว่าการหลงไปกับความรู้สึกยินดีปรีดาเช่นนี้อาจไม่เป็นไรถ้าเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และจบลงเมื่อถอดเสื้อครุย แต่หากยังหลงต่อไปและยังไม่ยอมถอดเสื้อครุย ก็อาจจะทำให้ยังร้อนและหนักต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวได้เพราะหลงไปยึดติดกับการเป็นปัญญาชนที่คิดว่าตนเองนั้นมีความรู้และหลักการที่ถูกต้อง ซึ่งความไม่แน่นอนก็อาจจะทำให้ปัญญาชนผู้นั้นกลับมาติดกับดักของตัวเองได้เหมือนกัน<br /><br /> ในระหว่างพิธี ขณะที่ฉันนั่งอยู่ในห้องและกำลังรอคิวก่อนที่จะขึ้นไปรับพระราชทานปริญญาบัตร ฉันมองบัณฑิตเป็นพันๆ คนเดินรับปริญญาบัตรและก้าวลงจากเวที ขณะนั้นก็มีการประกาศชื่อบัณฑิตใหม่และชื่อคณะมากมายหลากหลายคณะ มีทั้งชื่อคณะที่ฉันคุ้นหูและไม่คุ้นหู บัณฑิตแต่ละคนเดินตามจังหวะที่ซักซ้อมไว้อย่างรวดเร็วลงจากเวทีไป คนแล้วคนเล่า ฉันเริ่มสงสัยอีกแล้วว่า คนเหล่านี้จะไปทำอะไรต่อบ้าง จะไปอยู่ส่วนไหนของประเทศไทยบ้าง ดูชื่อสาขาวิชาหรือชื่อคณะที่จบการศึกษา ก็ดูเหมือนว่าน่าจะสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศได้มากมายยิ่งนัก ถ้าคนร้อยๆ พันๆ คนนำความรู้ที่ศึกษามาเป็นปี ไปใช้จัดการหรือทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกลุ่มที่สำเร็จการศึกษาได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง อันดับสองด้วย โอ้โห ประเทศไทยเราจะเป็นอย่างไรบ้าง คงจะเจริญรุ่งเรืองน่าดูเลยทีเดียว<br /><br /> แต่แล้วความสงสัยระลอกที่สองก็ซัดมาอีกครั้ง อ้าว ทุกปีก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ที่คนเป็นร้อยๆ พันๆ คนจบการศึกษาจากคณะต่างๆ เข้ามาทำงานในประเทศ กระจายเข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆ แล้วทำไมหนอ <span style="font-weight: bold;">ทั้งๆ ที่สมัยนี้การศึกษาก็เข้าถึงผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมเราถึงยังคงถามหาความสุขในชีวิตหรือแม้กระทั่งถามว่า “ความสุขคืออะไร” แล้วอย่างนี้ คนเราจะเรียนจบไปเพื่ออะไรกันแน่ </span>... ฉันตกอยู่ในทะเลแห่งคำถามและความคิดอยู่สักพักใหญ่ ก็ตอบตัวเองไปเบื้องต้นก่อนว่า ฉันอาจจะยังไม่มีความรู้รอบตัวมากพอหรือไม่ได้อ่านหนังสือหรืองานวิจัยมากพอว่ามีคนคิดหรือทำอะไรดีๆ เอาไว้มากมายแล้ว เพียงแต่ฉันไม่รู้เท่านั้นเอง<br /><br /> ฉันไม่รู้ว่าความคิดเห็นของฉันจะสร้างความไม่พอใจให้กับคนที่กำลังทำประโยชน์ให้กับสังคมหรือคนที่มองในมุมมองที่ต่างออกไปหรือไม่ ส่วนคำตอบเบื้องต้นที่ฉันตอบตัวเองไปนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่า ถ้าเป็นคนอื่นๆ จะตอบอย่างไรบ้าง และอาจจะมีใครหลายๆ คนที่กำลังถามคำถามแบบนี้อยู่เหมือนกัน หรืออาจจะมีใครหลายๆ คนที่เลิกถามคำถามแบบนี้ไปนานแล้ว<br /><br /> มาจนถึงวันนี้ ฉันรู้สึกดีใจที่ได้ตัดสินใจมาเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งเป็นเหมือนฤดูกาลที่ผ่านเข้ามาทุกปี ที่ทำให้เห็นว่าเพียงแค่เวลาสั้นๆ ไม่กี่วันนี้เอง ก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้และประจักษ์ชัดว่าการหลงไปกับความรู้สึกต่างๆ หรือบรรยากาศรอบข้างนั้น มันช่างง่ายดายเพียงใด ได้ตั้งคำถามที่แม้จะไม่ใช่คำถามที่ใหม่นักสำหรับบางคน แต่ก็อาจจะยังคงเป็นหนึ่งในโจทย์สำหรับการเดินทางในชีวิตของบางคนเช่นกัน<br /><br /> <span style="font-weight: bold;">ฤดูกาลนี้ นอกจากฉันจะได้ให้ของขวัญกับครอบครัวแล้ว ยังได้รู้จักโลกผ่านมุมมองของคนๆ หนึ่งมากขึ้นด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆที่ได้เรียนรู้และรู้จักเหล่านี้เปรียบเสมือนบทเรียนบทส่งท้ายที่น่าสนใจไม่แพ้บทเรียนในหลักสูตรปริญญาตรีที่ฉันจบออกมาเลยทีเดียว</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-75516039692452057362009-08-16T07:00:00.002+07:002009-08-16T10:25:16.899+07:00บทความที่ ๑๖๔: สีดำที่มีสีขาว ... สีขาวที่มีสีดำ<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEho_WYRk6nBXpLROd-G4QrhLpkXRofZS9PpqTbXJl1x0c9z6HXKflpRznhaxQz7h-KUcBHGhDSrjN3l0URLX_EUY4KEOQIRkFz5UTNHmEA9enPWB1aHyzc2YREiRVDdsKYGAfgpBw/s1600-h/ink.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 254px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEho_WYRk6nBXpLROd-G4QrhLpkXRofZS9PpqTbXJl1x0c9z6HXKflpRznhaxQz7h-KUcBHGhDSrjN3l0URLX_EUY4KEOQIRkFz5UTNHmEA9enPWB1aHyzc2YREiRVDdsKYGAfgpBw/s320/ink.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5370397220351995330" /></a><br /><br />โดย <b>ปาริชาด สุวรรณบุบผา</b><br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๒<br /><br /> ในระยะ ๔-๕ เดือนที่ผ่านมานี้ มหาวิทยาลัยมหิดลได้จัด “โครงการสานเสวนาเพื่อลดความรุนแรงในสถานพินิจและศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนในจังหวัดภาคใต้ทั้งตอนบนและตอนล่าง” ทุกครั้งที่นำเสนอกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อรับฟังปัญหาของเด็กเหล่านี้ พวกเราต่างแอบอมยิ้มและมีความสุขในความใสของเด็ก ซึ่งหลายครั้ง หลายคนเชื่อว่ามี <span style="font-weight:bold;">“พลังดำ” ของความผิดพลาด “พลังลบ” ของการผ่านการกระทำผิด</span> ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กอายุ ๑๔ ปีที่ข่มขืนหลานของตนเอง ไปจนถึงคดีน้ำกระท่อม ซึ่งเป็นคดียอดฮิตของวัยรุ่นในภาคใต้ คดีกัญชา ยาบ้า คดีลักทรัพย์ พยายามฆ่าและฆาตกรรม รวมถึงคดีความมั่นคงที่เด็กถูกใช้เป็นเครื่องมือให้ร่วมก่อความไม่สงบ<br /><br /> ความใสของเด็กเหล่านี้เริ่มตั้งแต่การแบ่งปันเรื่องราวความผิดของตนเองก่อนเข้ามาอยู่ในสถานที่ที่มีไว้ ‘แก้ไข’ นิสัยและความประพฤติ ดังเช่น ศูนย์ฝึกและสถานพินิจเหล่านั้น อาทิ “ผมถูกหมาไล่กัด ต้องวิ่งหนี เมื่อผมกำลังจะถือดอกไม้ไปให้แฟน ทำให้แฟนบอกเลิก” “ผมพาแฟนนั่งรถเครื่องซ้อนท้ายไปเที่ยวด้วยกัน รถเกิดน้ำมันหมด แฟนผมต้องช่วยเข็นรถ ผมหัวเสียแทนที่จะได้ขี่รถพาแฟนเที่ยว” ปัญหาที่เล่ามานี้เป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้ใหญ่ แต่เป็นปัญหาใหญ่ของเด็กที่สะท้อนความรู้สึกอยากเป็นที่ยอมรับในสายตาของผู้หญิง อยาก ‘เท่ห์’ ในสายตาของเพื่อนด้วยกัน หากในศูนย์ฝึกและสถานพินิจสามารถใช้ความรู้สึกเหล่านี้มาเป็นประเด็นแนะให้เด็กได้แสดงออกถึงการเป็นชายหนุ่มผู้มัดใจหญิงสาวด้วย ‘ความดี’ หรือ ‘ความสามารถในทางสร้างสรรค์’ แบบอื่นๆ เช่น การเป็นนักกีฬาที่สามารถ การเป็นนักดนตรีที่ดึงดูดใจ เป็นคนประดิษฐ์กรงนกที่สวยงามและสร้างสรรค์ และอื่นๆ เด็กอาจจะเกิดความคิดมัดใจสาวที่ปลอดภัยมากกว่าการแข่งรถ ซึ่งมี ‘สก๊อย’ นั่งซ้อนท้าย เป็นที่น่าหวาดเสียว และอันตรายต่อผู้ร่วมใช้ถนนคนอื่นๆ<br /><br /> นอกจากนั้นยังเกิดความซึ้งใจจาก ‘การฟัง’ เด็กหลายคนร่วมวางแผนในชีวิตจากการตอบคำถามว่าหากเหลือเวลาอีก ๒ วัน เขาคิดจะทำอะไร ๒ อย่างที่สำคัญที่สุดในชีวิต คำตอบที่ได้อาจทำให้พ่อแม่และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายน้ำตาซึมโดยไม่รู้ตัว เช่น เด็กคนหนึ่งบอกว่า “ผมจะจูบตีนของแม่ผมก่อนตาย” ถามว่าทำไมจึงต้องทำเด็กบอกว่า “เพราะแม่เคยจูบตีนผมมาก่อนเมื่อตอนผมยังเล็กๆ” เด็กหลายคนบอกว่า “อยากขอโทษพ่อแม่ที่ทำให้เสียใจ” ถามว่าจะทำอย่างไร บางคนบอกว่า “ผมจะจับมือแม่และหอมแก้มแม่” บางคนบอกว่า “จะจูบหน้าผาก” เราคิดตามคำตอบเหล่านี้แล้วคงจินตนาการเห็นภาพได้ว่า เด็กเคยได้รับความรักเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้มาก่อน แต่แล้วเมื่อโตขึ้น การกระทำเหล่านี้ได้หายไปไหน<br /><br /> เด็กจำนวนมากได้กล่าวถึงสาเหตุที่พวกเขากระทำความผิด เช่น “ทะเลาะกับแม่ พ่อแม่ทะเลาะกัน พ่อไปมีเมียใหม่ ผมเครียดเลยไปหาเพื่อน ผมอยากลอง ผมเกรงใจเพื่อน ผมลองยาเส้น ผมลองกระท่อม เพื่อนพาไปสูบกัญชา ผมติดยา ผมขายยา เมื่อผมเมายาเพื่อนชวนไปถล่มกับคู่อริ เมื่อผมเมาเหล้า ผมลักของ ผมขึ้นบ้าน ผมร่วมปล้น ผมโทรมหญิง ผมร่วมฆ่าคู่อริ” ทั้งหลายเหล่านี้ ประมวลได้ว่าความรักความเข้าใจ ความเอาใจใส่จากครอบครัวได้ขาดหายไป<br /><br /> ยังมีความประทับใจจากเรื่องที่เด็กได้แบ่งปันเมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่สำคัญที่จะทำก่อนตาย เด็กบางคนอยากนำผ้าที่แม่ใช้ละหมาดมาห่อศพตนเอง บางคนบอกว่าจะขอนอนหนุนตักแม่จนกระทั่งหมดลมหายใจ อีกคนบอกว่า จะขอเกิดเป็นลูกแม่อีกเมื่อเกิดใหม่ เด็กขี้เล่นคนหนึ่งบอกว่าอยากให้พ่อต่อโลงให้ผมเป็นรูปโดเรมอน มีครั้งหนึ่งที่สถานพินิจจัดงานครอบครัวสัมพันธ์ พร้อมกับกระบวนการสานเสวนาได้ดำเนินไปพร้อมๆ กัน เด็กได้บอกกล่าวสิ่งที่จะทำก่อนตาย จากคำพูดเหล่านี้ของเด็ก เราได้เห็นน้ำตาลูกผู้ชายไหลริน สะอึกสะอื้น เมื่อเด็กได้สำนึกผิด ขอโทษในสิ่งที่ทำกับพ่อแม่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แม่ของเด็กเหล่านี้จะปลื้มใจ สะเทือนใจ และสะอึกสะอื้นมากยิ่งกว่าเป็นหลายเท่า<br /><br /> อย่างไรก็ตาม เราได้ยินความคิดของเด็กอย่างน้อยสามคนว่าจะทำสิ่งที่คาดไม่ถึงก่อนตาย นั่นคือมีคนหนึ่งบอกว่า จะไปปล้นธนาคาร เพื่อหา ‘เบี้ย’ เก็บไว้ในครอบครัว อีกคนหนึ่งกล่าวว่าจะปล้นร้านทอง ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน คนสุดท้ายบอกว่าจะออกไปฆ่า ‘นาย’ (ตำรวจ) ที่จับเขาเข้ามาอยู่ในนี้<br /><br /> การพูดถึงเรื่องเช่นนี้ได้เปิดจังหวะให้เยาวชนได้ช่วยเหลือกัน<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">วิธีการที่สร้างความไว้วางใจ และ “ฟัง” เด็กเล่าเรื่องความตั้งใจของตนนี้เป็นโอกาสให้เด็กได้ช่วยกันวิเคราะห์ และผู้ใหญ่ได้โอกาสร่วมแนะนำ ช่วยพิจารณาผลดีผลเสียของการกระทำ ชี้ให้ตระหนักถึงผลร้ายที่จะตามมา</span> ในที่สุดเด็กคนหนึ่งกล่าวว่า “ผมจะไปเดินผัก รับจ้าง (ขนผัก) ในตลาด ได้เบี้ยน้อยแต่ก็จะให้แม่ดีใจแทนที่จะไปปล้นธนาคาร” แต่เราไม่แน่ใจว่าจะสามารถโน้มน้าวความคิดของเด็กคนสุดท้ายที่จะออกไปจัดการกับ ‘นาย’ ได้สำเร็จหรือไม่ เพราะเด็กบอก ‘ตายเป็นตาย’<br /><br /> การสอนในลักษณะนี้จะนำ ‘ปัญหาและชีวิตจริง’ ของเด็กเป็นตัวตั้ง การตั้งหน้าตั้งตาเทศน์สอนจะไม่ได้รับการต้อนรับเลย เพราะเด็กอาจเคยรับฟังการเทศน์เช่นนี้มาจากบ้านแล้วหลายวาระ<br /><br /> เรื่องราวของเด็กเหล่านี้เป็นสิ่งมีค่า และอาจเป็น ‘เรื่องเล่าเร้าพลัง’ ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ ให้เด็กคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ประสบชะตากรรมเช่นนี้ได้เรียนรู้ ผู้ใหญ่อาจเข้าใจความคิดของเด็กมากขึ้น เพื่อจะได้ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ และร่วมหาแนวทางป้องกันเหตุและแนวทางแก้ไข<br /><br /> เหนือสิ่งอื่นใด<span style="font-weight:bold;"> เราค้นพบว่าเด็กเหล่านี้ ‘กระหาย’ ที่พึ่ง และความสงบ</span> การให้นั่งนิ่งๆ อยู่กับตนเอง หรือคล้ายกับการนั่งสมาธิเบื้องต้น โดยการทำใจเป็น “หนึ่งเดียว” กับเสียงระฆัง แม้แต่เยาวชนมุสลิมก็ชอบการนั่ง โดยเปลี่ยนจากการฟังเสียงระฆังแห่งสติ ไปเป็นการระลึกถึงอัลเลาะห์ เด็กหลายคนสะท้อนความพอใจ ความชอบ ใคร่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนา เช่น เรื่องพระพุทธเจ้า เรื่องทำผิดแล้วจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็เหมือนกับอยากรู้วิธีแก้กรรมของตนว่าทำอย่างไรนั่นเอง<br /><br /> เราจึงสรุปได้ว่า หนึ่งในสาเหตุของการกระทำความผิดเหล่านั้นคือ ‘ความไม่รู้’ ‘การไม่มีคนสอน’ ‘การขาดการชี้แนะแนวทาง’ ในการปฏิบัติตน ในการพัฒนาตนเอง<br /><br /> <span style="font-weight:bold;"> “สีขาวในสีดำ” เหล่านี้ เรียกร้องและท้าทายให้ผู้ใหญ่ได้หันกลับมาพิจารณาดูวิธีการให้การศึกษาอบรม การมีคุณค่าภายในที่จะให้พวกเขาได้ยึดเป็นหลักในการดำเนินชีวิต</span> ถึงเวลาแล้วมิใช่หรือที่พวกเราจะได้มีส่วนช่วยให้เด็กทั้งหลายเหล่านี้ได้เรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่อาจเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ และมีความสุขได้ต่อไปUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-15494554614377082532009-08-09T07:00:00.001+07:002009-08-09T07:00:00.779+07:00บทความที่ ๑๖๓: สันติด้วยสติ<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgaQvdwUHRoGzqNQyMyPdEtzrVblTLPS558kPAJuFJelYpoVH1wHxiieYLl19Zkl3wcmlB35DSNpKaJBmA80Zt9mjA8D-7EsnVBSOKsXfoH_acGZggujh7ZoOgptLOX2HTegX9snw/s1600-h/2644989563_c25441f867_m.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 240px; height: 180px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgaQvdwUHRoGzqNQyMyPdEtzrVblTLPS558kPAJuFJelYpoVH1wHxiieYLl19Zkl3wcmlB35DSNpKaJBmA80Zt9mjA8D-7EsnVBSOKsXfoH_acGZggujh7ZoOgptLOX2HTegX9snw/s320/2644989563_c25441f867_m.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5366437983740877858" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">ธนัญธร เปรมใจชื่น</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๒<br /><br /> ฉันพูดซ้ำๆ กับตัวเอง “ไม่เป็นไร ... ไม่เป็นไรจริงๆ เขาควรจะได้เรียนรู้และเติบโต” มันเป็นเหตุผลที่ดูจะช่วยให้ตัวฉันเองรู้สึกดีขึ้น ว่าฉันไม่ผิดอะไร ฉันเพียงมีเจตนาดีจะช่วยให้คนๆ หนึ่งพัฒนาตน ความเป็นครูของฉันทำให้ฉันยอม แม้จะไม่เป็นที่รัก<br /><br /> เรื่องคือว่า ฉันเพิ่งจะตักเตือนน้องสาวคนหนึ่งถึงการเปิดกว้างในการมองโลกของเขา การไม่ติดยึดกับคำตอบเดิมๆ ของชีวิต การเปิดพื้นที่ความเป็นไปได้อื่นๆ ให้ผุดพรายขึ้น มันไม่ใช่แค่ที่เราเรียนรู้มา แล้วปฏิเสธอะไรที่นอกเหนือจากนั้นไปเสียหมด เพียงเพราะเรามีคำตอบสุดท้ายไว้แล้ว มันทำให้เราไม่สามารถรับรู้สิ่งอื่น คนอื่น จนเรามิอาจได้ยินเสียงที่แท้จริงของเพื่อนที่กำลังสื่อสารกับเรา และเมื่อไม่อาจได้ยินและรับรู้ผู้อื่นได้ดีแล้ว เสียงของเขาซึ่งจะช่วยเป็นเสียงสะท้อนจากตัวเราก็ลดลง ทำให้เรารับรู้ความเป็นจริงของตนน้อยลงไปด้วย<br /><br /> โชคดีที่น้องสาวคนนี้ค่อนข้างเคารพและให้เกียรติฉันมาตลอด เขาเลยออกตัวอย่างสุภาพมาก ว่าเขาขอโทษ แต่เขาโตมาแบบนี้ และเชื่อแต่ที่วิทยาศาสตร์บอกเท่านั้น แล้วเขายังรู้สึกสบาย และมีความสุขดีกับชีวิต<br /><br /> ฉันเลยถามเขากลับไปว่ารู้จักกี่เรื่องที่นักวิทยาศาสตร์บอกล่ะ ชื่นชมวิทยาศาสตร์แต่ตัวเองไม่กล้าแม้แต่จะทดลองอะไรเล็กๆ ในชีวิตเนี่ยนะ แล้วคิดว่านักวิทยาศาสตร์มีคำตอบให้ทุกสิ่งหรือ ทำไมไม่เชื่อตัวเธอเองบ้าง ทำไมไม่อนุญาตให้ตัวเองได้ร่วมพิสูจน์และรับรู้เอง อย่างไม่ยอมลดละ ฉันคงจี้ๆๆๆ จนน้องเขาจำนน<br /><br /> แต่แทนที่จะรู้สึกชนะ หรือลิ้มชิมความสำเร็จ ฉันกลับเดินง่วนในบ้านอย่างฉุนเฉียว ในหัวยังคงคิดวิเคราะห์ถึงน้องคนนั้น และอะไรที่ทำให้เขาเป็นคนแบบนี้ สารพัดจะคิดไปต่างๆ นานา ในหัววนเวียนไปด้วยภาพใบหน้าน้องเขากับถ้อยคำบางคำที่พูดตอบโต้กัน โดยเฉพาะคำว่า <span style="font-weight:bold;">“แต่หนูก็มีความสุขดีนะพี่ หนูไม่ทุกข์อะไรนี่”</span> ในใจฉันยิ่งประณามน้องเขาหนักขึ้น ถึงความเห็นแก่ตัว ไม่รับรู้คนอื่นของเขา และเมื่อคำว่า “มีความสุข” วนมาในความคำนึงมากเท่าไร ฉันยิ่งรับรู้ถึงทุกข์ในใจตนมากขึ้น เหมือนทนไม่ได้ที่คนที่มีวิถีและกรอบคิดไร้ค่า และไม่ชาญฉลาดอย่างฉัน จะมีความสุขได้มากกว่าที่ฉันเป็น<br /><br /> คืนนั้นขณะที่พยายามทำตนให้ปกติที่สุด แต่คนในบ้านกลับแสดงออกกับฉันอย่างห่วงใย เหมือนเขารู้ว่ามันไม่ปกติ ฉันนั่งเช็คอีเมลและได้รับเมลจากเพื่อนคนหนึ่งในเครือข่ายของจิตตปัญญาศึกษานี่เอง เขาส่งบทความของเพื่อนอีกคนมาให้อ่าน โอ้ ... สวรรค์ประทานพร สาระส่วนใหญ่เป็นการวิจารณ์ความเชื่อของคนอีกกลุ่มที่ดูงมงายในความคิดเขา เขานำเสนอมุมมองทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างแข็งแกร่ง คมชัด เป็นเหตุเป็นผล แต่ฉันอ่านแล้วรู้สึกร้อนผ่าวทั่วใบหน้า เออแน่ะ โกรธจริงๆ ด้วย อยากจะเขียนวิจารณ์ตอบโต้กลับ แต่ฉันมันแหยเกินไป กลัวเพื่อนเจ้าของเรื่องจะโต้กลับมาจนฉันจนมุม กลัวเพื่อนคนอื่นจะรู้สึกแย่กับฉัน แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเองมากกว่า และรับรู้ถึงความทุกข์ที่ทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในใจ จนต้องลุกจากโต๊ะ ไปนั่งสวดมนต์ สวดไปน้ำตาก็ไหล ฉันไม่ใช่คนปฏิบัติธรรมเป็นประจำเหมือนเพื่อนคนอื่น การเข้ามาสวดมนต์ครั้งนี้ อาจเพียงหนีออกมาก็เป็นได้ แต่มันก็ช่วยให้เห็นความเป็นจริงเบื้องหน้าชัดเจนขึ้น จากคำถามที่วิ่งวนในหัวว่า ฉันผิดหรือถูกกันแน่ที่คิดและเชื่อแบบนี้ <span style="font-weight:bold;">ยิ่งพยายามหาคำตอบนี้ก็ยิ่งทุกข์ แล้วฉันก็รอ รอจนคลื่นในใจของตนสงบลง การใคร่ครวญที่แท้จึงได้ทำงานของมัน</span><br /><br /> เหมือนโดนตบหน้า สองเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกันโดยแท้ ความเชื่อ ศรัทธา มันเป็นเหมือนตัวตนภายในที่คนแต่ละคนยึดถือ ยึดเหนี่ยว การน้อมนำให้เกิดการเรียนรู้ที่ต่างไปจากเดิมที่เป็น เหมือนต้องค่อยๆ ประคับประคอง อ่อนโยนกับเขาด้วย เพราะเรากำลังโยกคลอนผู้อื่นอยู่ <span style="font-weight:bold;">บางทีที่เรากำลังเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น แท้จริงแล้ว อาจเพียงเพราะตัวตนของเราก็กำลังถูกโยกคลอน ไม่มั่นคงเช่นกัน</span> ตามมารยาททางสังคมที่เคยได้เรียนมาถึงบอกว่า เรื่องที่ไม่ควรนำมาเป็นหัวข้อสนทนา คือเรื่องศาสนาและการเมือง เพราะมันมักจะก่อเกิดความขัดแย้งขึ้น ที่ควรชวนกันพูดชวนกันคุยก็น่าจะเป็นเรื่องที่รื่นรมย์ ไม่ก่อหวอด<br /><br /> โดยทั่วไปเราเลยพูดเฉพาะเรื่องที่เราอยากฟัง และฟังเฉพาะเรื่องที่เราอยากพูด เราเลยไม่เคยได้ยินเสียงใครจริงๆ เลย เพราะการเปิดรับมันถูกตั้งค่าไว้ต่ำ<br /><br /> แต่เรื่องนี้น่าพูดถึง และควรพูดถึงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราสนใจการพัฒนาตน ฝึกตน ไม่ว่าในศาสนาใด เพียงแต่ว่าทำอย่างไรเรื่องราวความเชื่อและการเมืองจะสามารถนำมาพูดคุยได้ โดยไม่ทำร้ายกัน ไม่ตัดสินกันเร็วไป คำนี้เหมือนง่ายนะ เราพูดกันบ่อย แต่การยอมรับไม่ง่ายเท่าไร ยิ่งถ้าอาวุโสมาก บทบาท ตำแหน่งสูง การยอมรับอาจถูกทุบทิ้งอย่างไม่ใยดี เพราะเขารู้สึกชอบธรรมที่จะตัดสินคนที่เด็กกว่า คนที่อยู่ในปกครองดูแลของตน<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ยิ่งเราแสร้งหลบไม่พูดถึง มันยิ่งผุดออกมาในพฤติกรรมและมุมมองในเรื่องอื่นๆ ด้วย เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ความคิด ความเชื่อแต่ละชุด แต่ละมุมมองของเรา มันเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกัน</span><br /><br /> เวลาเราเถียงกันต่างบอกว่า ไม่มีอะไร แค่อยากอธิบาย แต่มันรุนแรงขึ้น อาจเพราะการถกเถียงของเรานั้นมันไปกระทบชุดความเชื่อที่เรายึดถือ กระทบอัตตาตัวตนของเรามากกว่าการอธิบาย เราจึงพยายามเอาชนะ โดยต้องการเห็นการจำนนยอมรับของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว เราย่ำยีเพื่อนและพกพาความชิงชังติดตัวมาด้วย เราไม่ได้ทำให้เขาทุกข์มากไปกว่าที่ทำให้ตัวเองทุกข์เลย พอทุกข์และขาดสติยั้งคิด อาจยิ่งทำให้เพื่อนอีกฝ่ายทุกข์อย่างเราบ้าง แต่ยิ่งทำอย่างนั้นความทุกข์ก็ยิ่งทวีในตัวเราเอง<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ตกลงเราเถียงกันทำไม เราอยากให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสเรียนรู้และใคร่ครวญตน กับความคิดความเชื่อที่แตกต่างไปของเราไม่ใช่หรือ</span> หรือเราจะถากถางฝั่งฟากของเพื่อนจนไม่เหลือที่ยืนให้เขาได้เลือกจะเป็นตัวเขา อะไรที่ทำให้เราคิดว่าไม้บรรทัดของเราถูกต้องที่สุด น้ำทุกสายก็ประกอบด้วยฝั่งสองฟากที่ดำรงอยู่ร่วมกัน มหาสมุทรสุดท้ายก็ไปจรดอีกฟากอันไกลโพ้น เราคงไม่คิดขนาดไม่ให้เหลืออีกฝั่งของท้องน้ำแห่งมิตรหรอกนะ<br /><br /> นึกถึงโฆษณาชิ้นหนึ่งที่พูดเรื่องภูมิคุ้มกันประเทศ ที่เอาคนไปยืนเป็นรูปรอยของแผนที่ประเทศไทย มีช่วงหนึ่งขณะที่ผู้คนเข้าทำร้ายฟาดฟันกัน เสียงพากย์กล่าวว่า ... เราคงลืมไปแล้วว่า เราเคยรักกัน ... ตอนนั้นเองที่น้ำตาฉันไหล และตัดสินใจไปขอโทษน้องสาวที่ฉันวิพากษ์วิจารณ์เขาวันนั้น ทั้งที่ฉันก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ตกลงใครถูกที่สุดUnknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-18269248802503070982009-08-02T07:00:00.001+07:002009-08-02T07:00:00.187+07:00บทความที่ ๑๖๒: วิถีผู้นำ<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEictO7DVmjWoV12uco2OhyQcLFltHdWnDiKPv1q64jAqHDlg83E7enVlAMRWJB94hvkvXogeS3RDSOkXmBqGrxN3IAommqQmyhQp5RKZtZPkzT256WBuQOdsnYYslXOHIeBzfgA/s1600-h/kauzlarich_1.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 205px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEictO7DVmjWoV12uco2OhyQcLFltHdWnDiKPv1q64jAqHDlg83E7enVlAMRWJB94hvkvXogeS3RDSOkXmBqGrxN3IAommqQmyhQp5RKZtZPkzT256WBuQOdsnYYslXOHIeBzfgA/s320/kauzlarich_1.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5364222702179461650" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">ธีระพล เต็มอุดม</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา<br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๒<br /><br /> “แน่ใจเหรอว่าเราจะพูดกันเรื่อง Leadership ... ในเมื่อ 30 กว่าคนที่นี่ มีคนที่เป็น ผอ. อยู่แค่ 2 คน เท่านั้นนะ” เสียงของผู้เข้าร่วมแทรกขึ้นมาระหว่างที่เราจะเข้าสู่การเรียนรู้เรื่องความเป็นผู้นำในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง <span style="font-weight:bold;">Contemplative Leadership</span> หรือ <span style="font-weight:bold;">ความเป็นผู้นำแนวจิตตปัญญาศึกษา</span> ของแก้วกัลยาสิกขาลัย สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข<br /><br /> คนนอกวงสนทนานี้อาจมองว่านี่เป็นประโยคขัดจังหวะการเรียน ทำให้ไม่ลื่นไหล ไม่แน่ว่าคงมีคนอึดอัดแทนกระบวนกรผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ว่าเขาจะรับมือกับคำถามท้าทายของผู้เข้าร่วมได้อย่างไร<br /><br /> แต่ตรงกันข้าม หลังจากคำถามนี้เปิดขึ้นมา การเรียนรู้ว่าด้วยความเป็นผู้นำก็เคลื่อนไปอย่างแจ่มชัดและมั่นคง เพราะได้รับความสนใจและความตั้งใจจากสมาชิกทุกคนในวง อีกทั้งยังจุดประกายให้ได้เข้าสู่แก่นสำคัญของเนื้อหาเสียด้วย ทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นผู้นำเป็นสิ่งที่จับต้องสัมผัสได้ ไม่เป็นแนวคิดเลื่อนลอย และทุกคนรู้สึกว่าเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับตนเอง<br /><br /> ภายหลังการอบรมนี้ พวกเราทีมกระบวนกรได้สะท้อนการเรียนรู้หลังการทำงานร่วมกัน เราเรียกกิจกรรมนี้ว่า AAR (After Action Review) ประเด็นที่เราประทับใจและแลกเปลี่ยนกันอย่างมากก็คือเรื่องความเป็นผู้นำนี้เอง นั่นเป็นเพราะเราเคยผ่านประสบการณ์ลองผิดลองถูกด้วยกันมาแล้วในทีมเมื่อ 3 ปีก่อนเป็นต้นมา นับแต่เรายังทำงานวิจัยจิตตปัญญาศึกษากัน<br /><br /> ในแรกเริ่มเรามาพบและตกลงว่าจะทำงานวิจัยกัน เพราะต่างคนก็สนใจการเรียนรู้เพื่อพัฒนาจิตใจและเรื่องนี้ก็ได้รับความสนใจ และการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ท่านได้ตั้งชื่อการเรียนรู้นี้ว่า<span style="font-weight:bold;">จิตตปัญญาศึกษา</span> สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมัน ณ ขณะนั้นจัดว่ามีน้อยมาก เหตุที่เราต้องทำวิจัยเชิงสำรวจความรู้เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราเข้าใจมากขึ้น เราก็จะทำงานและจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นจิตตปัญญาศึกษาโดยแท้ได้ ไม่หลงทางหรือผิดเพี้ยนไป<br /><br /> ทว่าด้วยความที่ยังใหม่กันมากนี่เอง เราเกือบทุกคนก็ลังเล ไม่กล้าออกรับเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบโครงการวิจัย ด้วยว่าเป็นงานรับทุนดำเนินการจาก สสส. และเงินทุนจำนวนมิใช่น้อย ขณะเดียวกันรูปแบบความสัมพันธ์ของเราก็มีความเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องมากกว่าจะเป็นคณะทำงานที่มีตัวหัวหน้าผู้นำอย่างชัดเจน<br /><br /> ในช่วงก่อนเริ่มงานวิจัยอย่างเป็นทางการ เราจึงหาแนวคิดวิธีการการทำงานร่วมกันที่ช่วยให้เราได้พัฒนาจิตและพัฒนาตัวเราเอง ที่สำคัญไม่เผลอทำงานตามสายการบังคับบัญชา หรือติดในรูปแบบแนวทางการบริหารจัดการเดิมๆ เราพบว่ามีแนวคิดที่น่าสนใจมากและเรานำมาใช้ทั้ง 2 เรื่อง ซึ่งต่างหนุนเสริมกันและกัน ได้แก่ ความเป็นผู้นำผู้รับใช้ และความเป็นผู้นำร่วม<br /><br /> แนวคิด<span style="font-weight:bold;">ความเป็นผู้นำผู้รับใช้ (Servant Leadership)</span> นั้น มีผู้ที่เข้าใจคลาดเคลื่อนกันไปพอสมควร อาจด้วยคำว่า “ผู้รับใช้” ถูกตีความว่า ผู้นำต้องสามารถรับใช้ทำงานให้ทุกคนได้ ช่วยทำแทนทุกคนได้ ฟังดูเหมือน ส.ส. ขอรับใช้ประชาชนเลยเชียว แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะ<span style="font-weight:bold;">การรับใช้คือการดูแลเพื่อนร่วมงานให้เพื่อนเขาได้เติบโตและพัฒนาตนเองขึ้นมาได้ สนับสนุนให้เขาได้พบศักยภาพและความสามารถที่แท้จริงของตนเองจากประสบการณ์การเรียนรู้และพัฒนาจิตใจ</span> แตกต่างกันอย่างมากกับการช่วยทำงานแทนเขาด้วยทักษะของเราที่ดีกว่า เพราะเขาจะพลาดโอกาสเรียนรู้และเติบโตจากการทำเอง สูญเสียการโค้ชสอนงาน และขาดการเสริมศักยภาพจากเราไป ใน 3 ปีของการทำงานวิจัย ทีมเราเห็นชัดเจนว่าการเป็นผู้นำผู้รับใช้ต้องอาศัยความตั้งใจ ความสนใจ และความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องของแต่ละคนเป็นอย่างมากทีเดียว<br /><br /> เรายังใช้อีกแนวคิดที่เสริมกันมากคือเรื่อง<span style="font-weight:bold;">ความเป็นผู้นำร่วม (Collective Leadership) </span>ซึ่งเชื่อว่าพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน เรามีเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิเช่นเดียวกัน และ<span style="font-weight:bold;">การเปลี่ยนแปลงวิวัฒน์จิตหรือชีวิตด้านในก็ไม่เพียงเป็นเส้นทางระดับปัจเจกบุคคล แต่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นทั้งแผง เป็นการเรียนรู้ที่ดำเนินไปพร้อมกันทั้งกลุ่มทั้งชุมชน</span> ในกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาจิตใจจะละเลยกัลยาณมิตรหรือขาดเพื่อนผู้สนับสนุนไปไม่ได้เลย ความเป็นผู้นำร่วมจึงเป็นสภาวะผู้นำที่ทุกคนให้ความเป็นผู้นำแก่กลุ่ม ด้วยคุณภาพและคุณลักษณะของเราที่หลากหลายต่างกัน มิใช่ผู้นำร่วมด้วยการรอตัดสินใจพร้อมๆ กัน ทำอะไรเหมือนๆ กัน หรือรอเห็นชอบตรงกัน เราเห็นชัดเจนว่าคุณภาพของการทำงานที่เกิดขึ้นจากการร่วมใจกันแตกต่างชัดเจนจากการแบ่งงานกันทำตามความถนัด เป็นผลร่วมที่มากกว่าผลรวมของจำนวนคน<br /><br /> ตลอดเวลาที่เราทำงานด้วยกันมาในฐานะทีมวิจัยต่อเนื่องมาจนเป็นทีมจัดกระบวนการเรียนรู้ เราพบว่าการนำแนวคิดความเป็นผู้นำผู้รับใช้และความเป็นผู้นำร่วมมาใช้ในการทำงานนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย เรายอมรับได้อย่างเต็มปากว่าทีมไม่สามารถคงสภาวะมีความเป็นผู้นำร่วมอยู่ได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกับเราแต่ละคนไม่อาจรักษาสภาวะความเป็นผู้นำผู้รับใช้ไว้ได้ทุกขณะ ในคราวแรกบางคนอาจจะรู้สึกท้อใจบ้างที่ไม่สามารถทำงานหรือบริหารจัดการด้วยแนวทางวิธีที่เราเชื่อให้ได้ตลอดเวลา แต่เมื่อได้สติรู้สึกตัวขึ้นมาว่าเรากำลังหลุดออกจากการดำเนินไปในแนวทางจิตตปัญญาศึกษา เราพลันได้พบว่าทั้งทีมสามารถฟื้นคืนคุณภาพสู่สภาวะความเป็นผู้นำผู้รับใช้และความเป็นผู้นำร่วมได้ทุกครั้ง<br /><br /> จากประสบการณ์ของทีมเราในการทำงานวิจัยและจัดอบรมจิตตปัญญาศึกษาด้วยวิธีการและแนวทางจิตตปัญญาศึกษา ดังเช่นเรื่องความเป็นผู้นำ ได้ทำให้เราตระหนักชัดว่า<span style="font-weight:bold;">จิตตปัญญาศึกษาไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้ายที่จะต้องเดินไปให้ถึง ไม่ได้เป็นสิ่งที่เมื่อทำได้แล้วจะสำเร็จเสร็จ</span> เพราะเมื่อใดที่รู้สึกว่าเรามีความเป็นผู้นำผู้รับใช้ หรือทีมมีความเป็นผู้นำร่วม เราจะพบว่าในอีกชั่วขณะเวลาถัดไปไม่ช้าก็เร็ว เราอาจจะเสียคุณภาพและเสียสภาวะนี้ไปได้ โจทย์จึงไม่ใช่การปฏิบัติให้เกิดความเป็นผู้นำผู้รับใช้แล้วจบ แต่เป็นคุณภาพและสภาวะที่เราต้องร่วมกันหมั่นสร้างให้เกิดขึ้น เพราะมันเกิดขึ้นในแต่ละชั่วขณะ อาจจะต่อเนื่องกันไปได้แต่ไม่สามารถคงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลง<br /><br /> ความเป็นผู้นำจึงไม่ใช่ผลลัพธ์ แต่เป็นคุณภาพและสภาวะที่เราพยายามสร้างให้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เสมือนหนึ่งเราอยู่บนหนทางของการปฏิบัติฝึกฝน และมีสติไม่หลุดออกนอกเส้นทาง <span style="font-weight:bold;">เป้าหมายนั้นเรามีอยู่ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือวิธีและเส้นทางที่เราเดินไป เราจึงได้ใช้ชื่อในการทำงานร่วมกันว่า “กลุ่มจิตตปัญญาวิถี”</span><br /><br /> ย้อนกลับมายัง workshop ความเป็นผู้นำแนวจิตตปัญญาศึกษา คำถามของอาจารย์พยาบาลผู้อัดอั้นสงสัยได้เผยออกมาว่าเราจะเรียนรู้เรื่องความเป็นผู้นำในกาละและเทศะที่เหมาะสมแล้วหรือ จึงเป็นคำถามที่ป้อนเข้ามาในกระบวนการเรียนรู้อย่างพอเหมาะพอเจาะ สะท้อนความเชื่อของคนส่วนใหญ่ว่า ผู้นำคือผู้บริหาร คือผู้มีอำนาจ คือผู้สั่งการ ดังนั้นเราจึงละเลยการให้ความสำคัญต่อตัวเอง หลงลืมจะมอบอำนาจให้แก่ตัวเอง ไม่เชื่อว่าเราก็มีความเป็นผู้นำที่สามารถรับใช้ดูแลองค์กรของเราด้วยคุณภาพและคุณลักษณะใดๆ ก็ตามที่เรามีได้ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังมองข้ามความสามารถและความเป็นไปได้ของกลุ่มที่จะข้ามพ้นอุปสรรคไปด้วยกัน ความเชื่อเดิมๆ นี้ไม่ต่างกับกบเลือกนาย ผู้มอบความหวังและตั้งตารอคนอื่นให้เป็นผู้นำพาหาทางออก<br /><br /> เพราะผู้นำมิใช่เพียงผู้บริหาร และเราทุกคนล้วนมีความเป็นผู้นำในตัว<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ความเป็นผู้นำไม่ใช่สถานภาพ ไม่ใช่สิทธิอำนาจ แต่เป็นสภาวะอันเกิดขึ้นจากการหมั่นดำเนินชีวิตอยู่ในสติบนวิถีทางของการพัฒนาขัดเกลาตนเอง และเราทุกคนต่างทำได้ และเราสามารถทำได้ร่วมกัน</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-1171739089569699442009-07-26T07:00:00.002+07:002009-07-28T15:51:09.957+07:00บทความที่ ๑๖๑: ไสยศาสตร์ควอนตัม - ใจเปิดกว้างไม่ใช่ประนีประนอม<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvGg6sVD8zxpNX2l482L2EOh7qXVJJPc4X7FZuI6y5IgZaMAJ46UFS6xt7W4d8lkTH00NVfGbokXpqafXogm_wc49kFnoL6wFtB96U6OSc1wb0pQpN-QJfzydN85FuEIt0D-vqvA/s1600-h/p6487152n3.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 200px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvGg6sVD8zxpNX2l482L2EOh7qXVJJPc4X7FZuI6y5IgZaMAJ46UFS6xt7W4d8lkTH00NVfGbokXpqafXogm_wc49kFnoL6wFtB96U6OSc1wb0pQpN-QJfzydN85FuEIt0D-vqvA/s320/p6487152n3.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5361675316308107906" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight: bold;">ชลนภา อนุกูล</span><br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา<br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒<br /><br /> ผลจากแบบสอบถามครั้งหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้คนโดยมากเชื่อว่านักฟิสิกส์ฉลาดกว่านักวิทยาศาสตร์สาขาอื่น – แต่ความเห็นของคนโดยมากก็ไม่อาจกลายเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์หรอกนะ<br /><br /> ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่งยืนยันว่าการดื่มไวน์แดงช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่งานวิจัยอื่น-อื่นก็ชี้ให้เห็นว่าการดื่มไวน์แดงเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคอื่น-อื่นได้อีกมหาศาล - การเลือกเชื่อผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพียงบางเรื่องก็ไม่ใช่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน<br /><br /> งานวิจัยเกี่ยวกับการปลูกป่าหลายชิ้นปรากฏผลว่า คุณภาพของดินที่ปลูกป่าเลวลง หากไม่มองว่า ระยะเวลาในการเก็บข้อมูลเป็นเพียงระยะเริ่มต้นของการปลูกป่า ซึ่งต้นไม้จะต้องดึงแร่ธาตุสารอาหารในดินไปใช้ในการเจริญเติบโต ก่อนที่จะเน่าเปื่อยสูญสลายกลายเป็นหน้าดินในเวลาอีกหลายสิบปีถัดมา การปลูกป่าก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์และเป็นโทษต่อพื้นดินไปอย่างง่ายดาย - การพิเคราะห์ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังต้องตั้งคำถามต่อกระบวนการและปัจจัยในการทดสอบอีกด้วย<br /><br /> ทฤษฎีทางฟิสิกส์มีวิวัฒนาการมาจากนิวตัน ผ่านเข้าสู่ทฤษฎีสัมพันธภาพ และปัจจุบันกำลังอยู่ในยุคควอนตัม - แต่ไม่ได้หมายถึงว่า ควอนตัมนั้นดีที่สุด และเอะอะอะไรก็ควอนตัม-ควอนตัม ถ้าจะให้ดี ต้องตรวจสอบผู้พูดอย่างถี่ถ้วนเหมือนกันว่าสิ่งที่พูดนั้นผู้พูดเข้าใจแค่ไหนและอย่างไร เพราะนักฟิสิกส์เองก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจทฤษฎีทางฟิสิกส์อย่างถ่องแท้ อย่างที่ริชาร์ด ฟายน์แมน นักฟิสิกส์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลปีค.ศ. ๑๙๖๕ ผู้เชื่อมสมานทฤษฎีสัมพันธภาพและควอนตัมเข้าด้วยกัน เคยตั้งข้อสังเกตว่า ในโลกนี้น่าจะมีนักฟิสิกส์สักสิบสองคนที่เข้าใจทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เข้าใจทฤษฎีควอนตัม ซึ่งรวมทั้งตัวเขาเองด้วย<br /><br /> ด้วยความที่ควอนตัมเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก จึงกลายเป็นเรื่องที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา และเลอะเทอะกลายเป็นไสยศาสตร์ได้ง่าย ดังที่มีผู้พยายามขายสินค้าโดยอ้างว่าเป็นไปตามทฤษฎีควอนตัม และพะถ้อยคำควอนตัมลงไปในเหรียญประดับ นาฬิกา เตียง น้ำ เป็นต้น และอ้างสรรพคุณว่ามีฤทธิ์รักษาโรคได้สารพัด - <span style="font-weight:bold;">การอ้างจากประสบการณ์ของผู้คนไม่กี่คนนั้นไม่ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันการพร้อมที่จะเชื่อโดยไม่ตรวจสอบใคร่ครวญก็ไม่ถือว่าเป็นพุทธเช่นเดียวกัน</span><br /><br /> ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะควอนตัมกลายเป็นหนทางใหม่ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ มีการอ้างถึงนักวิทยาศาสตร์และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ประกอบคำโฆษณามากมาย แต่เมื่อตรวจสอบผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์กลับไม่พบเลยแม้แต่ชิ้นเดียว สินค้าที่อ้างควอนตัมนี้ใช้การแถลงสรรพคุณจากผู้คนมากหน้าหลายตา การซื้อขายนี้จึงอันตรายเสียยิ่งกว่าการซื้อขายวัตถุบูชาทั้งหลาย ซึ่งยังเสนอข้อเท็จจริงในแง่ของความเชื่อและศรัทธาแบบตรงไปตรงมา แต่สินค้าควอนตัมตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท็จและความฉ้อฉลล้วน-ล้วน โดยมีลัทธิบริโภคนิยมและวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณเป็นเครื่องหนุนเสริม<br /><br /> บางคนเห็นว่าก็ถ้าจ่ายเงินไม่เท่าไหร่ และหายจากความเจ็บป่วยด้วยอุปาทาน ต่อให้ไม่ใช่คุณวิเศษจากควอนตัมก็ไม่น่าจะเป็นไร - ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เงินไม่เท่าไหร่ นั้นเท่าไหร่แน่? คำว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงล่ะหรือ?<br /><br /> ทรัพย์ที่จ่ายให้กับของที่ไม่ได้จำเป็นนั้น หากรวมกันมากเข้า อาจจะนำไปใช้ประโยชน์อื่นได้มาก เป็นต้นว่า ทุนการศึกษาทางด้านจิตตปัญญาให้กับเสมสิกขาลัย สาวิกาสิกขาลัย หรือมหาวิทยาลัย - ทรัพย์นั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่การใช้จ่ายออกไปไม่เคยเป็นเรื่องส่วนตัวได้เลย หากมีผลต่อทัศนคติของสังคมว่าให้คุณค่ากับอะไรเป็นสำคัญ ก็ถ้าผู้บริโภคจ่ายเงินให้กับสินค้าประเภทไหน สินค้าประเภทนั้นก็ย่อมถูกผลิตออกมาอีก เนื่องจากถือว่าได้รับการโหวตจากผู้บริโภคโดยปริยาย ไม่น่าแปลกใจที่สินค้าที่อาศัยไสยศาสตร์หรือศรัทธาเป็นเครื่องเชิญชวนจะยังคงขายกันเกร่ออยู่ทั่วไป<br /><br /> หากครูบาอาจารย์หรือองค์กรที่ทำงานเรื่องพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณ เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเหรียญประดับควอนตัม อาหารบำรุงสมอง หรือแม้แต่นมผงสำหรับเด็ก จะถือว่าได้ทำหน้าที่ของตนในการทำลายซึ่งมิจฉาทิฏฐิแล้วล่ะหรือ? ต้นทุนที่แท้จริงของการเพิ่มเติมมิจฉาทิฏฐิว่าด้วยบริโภคนิยมและวัตถุนิยมลงไปในสังคมนั้นมีราคาเท่าไหร่กันแน่?<br /><br /> <span style="font-weight:bold;"> จิตตปัญญาศึกษาหรือการศึกษาด้วยใจอย่างใคร่ครวญนั้นเป็นการศึกษาที่เปิดใจกว้าง สามารถยอมรับวิถีทางที่แตกต่างได้ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องประนีประนอมกับสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานอย่างโยนิโสมนสิการหรือการบริโภคที่ขาดสติ</span> - อย่าลืมว่า แม้ศาสนากับวิทยาศาสตร์จะพยายามสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบสุนทรียสนทนามากขึ้นในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้นำไปสู่การเหมารวมหรือสรุปรวมหมู่ว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์นั้นเหมือนกัน และยังยอมรับว่ามีทัศนะที่แตกต่างในหลายเรื่อง<br /><br /> จิตวิวัฒน์และจิตตปัญญาศึกษาแม้จะให้พื้นที่กับองค์ความรู้ที่ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้นว่า องค์ความรู้จากภูมิปัญญาของชนเผ่า องค์ความรู้เรื่องผลึกน้ำของศาสตราจารย์อิโมโตะ องค์ความรู้เรื่องความฝัน องค์ความรู้เรื่องการตาย ฯลฯ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะยอมรับองค์ความรู้เหล่านี้ หรือศิโรราบศรัทธาในอาจารย์ที่ปรึกษาฯ โดยปราศจากการตรวจสอบใคร่ครวญ<br /><br /> จิตตปัญญาศึกษามีหน้าที่ตรวจสอบองค์ความรู้ต่าง-ต่างอย่างเข้มข้น เรียนรู้ความเหมือนความต่าง และเข้าใจความเป็นไปอย่างแยบคาย <span style="font-weight:bold;">จิตตปัญญาไม่ได้แปลว่าการโอนอ่อนผ่อนตาม เปิดรับทุกเรื่องโดยไม่ตั้งคำถาม หรือเห็นแก่ความสัมพันธ์เสียจนละทิ้งความเป็นกัลยาณมิตรในฐานะผู้ร่วมเดินทางในการแสวงหาสัจจะร่วมกัน</span><br /><br /> หนทางในการภาวนาหรือเข้าถึงสัจจะนั้นไม่ได้เป็นเรื่องของความสุขสนุกสนานเลยแม้แต่น้อย หนทางนี้มีการเผชิญหน้ากับคุณค่าเดิมในกระแสหลัก หวั่นไหวไปกับความรักความปรารถนาจากผู้คนรอบข้าง สับสนกับทางเลือกนับไม่ถ้วน เจ็บปวดกับการถูกตรวจสอบท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า <span style="font-weight:bold;">แต่บนหนทางนี้จะนำพารากแห่งปัญญาและกรุณาให้หยั่งลึกลงไปในหัวใจของเราลึกซึ้งขึ้น-ลึกซึ้งขึ้น</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-47489737571047232782009-07-19T07:30:00.002+07:002009-07-28T15:51:31.172+07:00บทความที่ ๑๖๐: สนทนากับเสียงด้านใน (Voice Dialogue) : ผู้แพ้ผู้ชนะใน (เกมและสงคราม) ธุรกิจ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2auCRV1Ifc_1wZSz29KtXmv2JcJw4ZYIaqExELGM0YeZPNYTFnvupo2cPNTapx01x-MU__EQe6uZVLfHdjaU5umxDqtdu3KXPrCtLOFkYn7s91-S6o04OglJX54C0qRJfRVS_cA/s1600-h/340x.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2auCRV1Ifc_1wZSz29KtXmv2JcJw4ZYIaqExELGM0YeZPNYTFnvupo2cPNTapx01x-MU__EQe6uZVLfHdjaU5umxDqtdu3KXPrCtLOFkYn7s91-S6o04OglJX54C0qRJfRVS_cA/s320/340x.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5358995894382109762" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">สมพล ชัยสิริโรจน์</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒<br /><br /> ยามเศรษฐกิจตกสะเก็ดเช่นนี้ น่าจะกล่าวขอบคุณ ทุกความเร่งรัด รวมทั้งอาการกดดันจากองค์กรในยามที่การแข่งขันทางธุรกิจกำลังเดือดพล่าน เป็นเวลาที่เราต้องระดมสรรพกำลังโดยเฉพาะกำลังใจของผู้คนให้เดินก้าวหน้าไปด้วยกัน และจับมือกันให้มั่นคง สบสายตาอันเป็นมิตร ยังพูดจาติดตลกได้แม้นหลายเรื่องราวจะคอขาดบาดตายเอาก็ตาม<br /><br /> จะเป็นจะตายเพียงใดหรือ? แท้จริงการทำธุรกิจคือการงานที่มีตัวชี้วัด และเป็นเพียงเกมกีฬา มีได้แต้ม เสียแต้ม ทีมไหนแข็งแรงกว่าก็เก็บแต้ม ทีมไหนอ่อนแอ แพ้เชิงกันทางกลยุทธก็เสียแต้ม ต่างฝ่ายรุกรับขับสู้กันในเกม ต่างต้องฝึกฝนบำรุงกำลังคน กำลังใจให้พร้อมและเข้มแข็ง หากเพียงแต่แข่งกันอย่างตื่นรู้มิใช่หลับใหล ตื่นให้รู้ว่า นี่เป็นเพียงเกม ในเกมกีฬาไม่มีใครเอาเป็นเอาตายกันก็เท่านั้น<br /><br /> สำนวนโบราณที่ว่า “กีฬา กีฬาเป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน” ก็ไม่ล้าสมัยเลย <strong>ผลของการฝึกตนจะเป็นเช่นไร ขึ้นอยู่กับเราให้ ตัวตนด้านใน ตัวใดของเราเข้าเล่นเกมนี้</strong><br /><br /> เมื่อการงานเป็นเกมกีฬา ตัวตนของ “คุณชนะ” ก็ต้องเข้ามาเป็นกำลังหลัก “คุณดัน” “คุณวินัย” “คุณ (กล) ยุทธ” “คุณประสาน” ก็คงต้องเข้าร่วมทีมกัน เมื่อเล่นกันเป็นทีมก็ต้องมีกติกา “คุณระเบียบ” ต้องดูแล “คุณวินัย” คอยกำกับ<br /><br /> ในยามลงสนามแข่ง “คุณตามใจ ณ อิสรภาพ” แค่คอยเป็นกำลังใจข้างสนามบ้าง เมื่อ “คุณตามใจ” ให้ความเคารพ “คุณระเบียบ” เปิดทางให้ “คุณศิโรราบ” ได้อาสาสละอิสระส่วนตนเพื่อชัยชนะของส่วนรวม <br /><br /> หากคนดูรอบสนามตะโกนถามว่า จะแข่งกันไปหาสวรรค์วิมานอะไรเล่า คำตอบแรกนึกถึงนายห้างเทียม โชควัฒนาเคยบอกไว้ว่า “คู่แข่งไม่ใช่คู่แค้น” แข่งแล้วไม่แค้นนี่ก็ต้องฝึก เหมือนคำโบราณที่ว่าการกีฬาฝึกให้ “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” แม้รู้อภัยอย่างเดียวคงไม่ได้พาใครไปสวรรค์ แต่ใครจะตั้งใจไปสวรรค์โดยไม่รู้จักให้อภัยคงไม่ได้กระมัง<br /><br /> และเมื่อเกมจบก็พัก คุณๆ ทั้งหลายที่ได้เอ่ยนามมาในเบื้องต้นก็ไปพักผ่อน คราวนี้ “คุณตามใจ” พา “คุณสบาย” เข้ามาเป็นทิวแถว หมดเวลาแข่งขัน เจ้าเด็กเล็กๆ ที่เมื่อสักครู่วิ่งเล่นหัวกับคุณๆ ทั้งหลายในสนามแข่ง ก็ได้เวลาพักผ่อนซุกซนด้วยกล้ามเนื้อกล้ามใจที่แข็งแรง<br /><br /> แล้วพลิกเหรียญอีกด้านกลับไปดูว่า หากธุรกิจไม่ใช่เกมกีฬา แต่เป็นสงครามซึ่งพื้นที่สมรภูมิเป็นการรบที่ผู้แพ้อาจตายได้ จะเกิดอะไรขึ้น <br /><br /> ธุรกิจที่กลายเป็นสงครามจึงเป็นการสู้รบแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย คู่แข่งฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นศัตรู ทีมของเราต้องรบชิงชัยให้ได้ มิฉะนั้น ไม่เราก็เขาถึงตาย<br /><br /> ในกีฬาแพ้ชนะกันแค่แต้ม แต่สงครามแพ้ชนะชิงบ้านชิงเมือง ชิงอธิปไตยเหนือแผ่นดินนั้นๆ และก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างเสมอๆ เมื่อธุรกิจล้มเหลว อีกนัยหนึ่งคือพ่ายแพ้ เจ้าของกิจการถึงล้มละลาย บริษัทถูกยึด บ้านช่องทรัพย์สิน อาจจะถูกขายทอดตลาด ดีแต่ว่า ไม่โดนยึดลูกยึดเมียเหมือนสงครามในสมัยโบราณ<br /><br /> เมื่อเกมเป็นการรบการสงคราม การจัดสรรพกำลังก็มิใช่ทีมที่มีเพียงหัวหน้าทีมหรือโค้ช แต่องค์กรการรบ ต้องมี “คุณวินัย” เป็นกำลังหลัก มี “คุณบัญชา” เป็นผู้นำ มี “คุณทะแกล้วกล้า” “คุณทะลวงฟัน” อีกทั้ง “คุณยุทธศาสตร์” “คุณยุทธวิธี” “คุณประสิทธิภาพ” “คุณประสาน” “คุณสื่อสาร” และ “คุณพลาธิการ” และอีกสารพัด<br /><br /> แต่การตัดสินใจอยู่ในมือ “คุณบัญชา” ทีมงานเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา “คุณวินัย” ของหน่วยรบกำหนดให้ทุกคนต้องถวายหัวต่อคำสั่ง ศิโรราบและเชื่อฟัง ใครขัดขืนถึง “ตาย” หากใครพลาด หน่วยรบพลาด การรบพ่ายแพ้นั้นหมายถึงความตายของหน่วยงาน ความตายของคุณบัญชา ผู้เป็นแม่ทัพ (แต่ส่วนใหญ่แล้วพลราบคนเล็กคนน้อยนั้นพลีกายไปก่อน มากกว่า แม่ทัพผู้พ่ายแพ้ก็มักจะมีโอกาสสละเรือ หรือเร้นกายจากสนามรบได้อย่างไร้ร่องรอย)<br /><br /> หากคนทำงานธุรกิจอยู่ในอารมณ์ที่กล่าวมาแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นลูกน้อง หรือลูกพี่ เป็นแม่ทัพ หรือผู้ใต้บังคับบัญชา และพวกเขารู้สึกตัวว่าอยู่ในสนามรบ หรือบริหารบังคับบัญชาอยู่ใน war room ความกดดันย่อมแตกต่างจากข้างสนามกีฬา ความผิดพลาดหรือแม่นยำมีผลต่อการรบ ต่อความเป็นความตายของหน่วยงาน <br /><br /> ในสนามรบไม่มีที่ให้ “เด็กเล็กๆ” วิ่งเล่น มีแต่ “คุณชนะ” หรือ “คุณแพ้” “คุณเข้มแข็ง” หรือ “คุณอ่อนแอ” “คุณจะอยู่รอด” หรือ “คุณจะตาย” <br /><br /> บ่อยครั้งที่การแข่งขันเข้ามาในธุรกิจ หรือในชีวิตของเราโดยเรามิได้เชื้อเชิญ หากตัวตนด้านในของเราไม่มีใครสักคนที่เป็นนักกีฬาหรือแม้แต่นักรบซะเลย เมื่อแขกที่ไม่ได้เชื้อเชิญโคจรเข้ามาในชีวิตเราก็จะรู้สึกอึดอัดเพราะจัดการไม่ได้<br /><br /> แต่แน่ล่ะในทางกลับกัน หากตัวเรามีแต่นักแข่งขัน จะเป็นนักรบหรือนักกีฬาก็ตาม เท่านั้น มี “คุณชนะ” เป็นเจ้าตัวหลักตัวเอก คอยถือธง พาเราเข้าสู่สนามแข่ง หรือสนามรบอยู่เสมอ ๆ ตัวเราก็คงจะเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลา เมื่อ “คุณชนะ” เธอมองเห็นใครต่อใครในชีวิตของเราเป็นคู่แข่ง เป็นศัตรูไปหมด<br /><br /> หากเรามีแต่ตัวตนที่แสวงหาความร่วมมือร่วมใจ ประสานสัมพันธ์กับผู้คน แล้วเราตกอยู่ในภาวะการแข่งขัน เราก็จะอึดอัดใจที่ฝ่ายตรงกันข้ามเขาไม่ได้ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์นัก นอกจากต้องการผลสัมฤทธิ์ที่เหนือกว่า ในเวลาเช่นนั้นสำหรับเราผู้มี “คุณประสาน เชื่อมสัมพันธ์” เป็นตัวเอก ก็อาจจะต้องเชื้อเชิญ “คุณชนะ” เข้ามาร่วมวงไพบูลย์ อาการอึดอัดอาจจะทุเลา ด้วยว่า <strong>บ่อยครั้งความอึดอัดในใจ ในสถานการณ์บางสถานการณ์ในที่ทำงานใดใดก็ตาม เกิดขึ้น เพราะเราขาดศักยภาพบางอย่างที่จำเป็นต่อสถานการณ์นั้น</strong> <br /><br /> อันที่จริงจะว่า เราขาดก็ไม่เชิง เราเพียงแค่ลืมเลือนไปว่า เราก็สามารถแข่งขัน เอาชนะผู้คนได้เหมือนกัน หรือเป็นได้ว่า ผลลัพธ์ของการแข่งขัน ครั้งล่าสุดในชีวิตของเรานานมาแล้วก่อนหน้าที่เราจะอึดอัดในครั้งนี้ ยังฝังลึกเป็นแผลคาใจเกินไป จนเราไม่กล้าหันไปมองเห็นผู้ชนะของเรานอนบาดเจ็บอยู่ในการแข่งขันครั้งนั้น และเป็นภาพที่ยากจะลบทิ้ง<br /><br /> ทำนองเดียวกันแต่คนละทาง หากเราเต็มเปี่ยมไปด้วยตัวตนที่แสวงหาชัยชนะ ซึ่งก็สัมพันธ์กับผู้คนได้ดีเท่าที่เขาเหล่านั้นนำชัยมาให้ อยู่มาวันหนึ่งมีใครสักคนหยิบยื่นความสัมพันธ์ที่ไร้เงื่อนไขให้ หรือเรียกร้องจากเราให้เอาหัวใจให้เขาอย่างไร้เงื่อนไข ในวันนั้นซึ่ง “คุณชนะ” นักรบ นักแข่งในใจเราไม่รู้จะจัดการอย่างไร เราก็อึดอัด<br /><br /> ที่เป็นเช่นนั้นด้วยเราลืมเลือนไปแล้วว่า จะสัมพันธ์กับผู้คนโดยไม่มีเป้าหมาย ไม่มีเส้นชัย นั้นเป็นอย่างไร เราอาจจะลืมไปแล้วว่า การดำรงอยู่เพียงเพื่อใครสักคนโดยไม่ต้องหวังผลใดใดเลยนั้นคืออะไร เราอาจจะเบือนหน้าหนีเขาหรือเธอผู้นั้น เพราะเขาสะท้อนภาพอดีตฝังใจที่เราเคยพบเคยได้ยินว่า “ถ้าทำไม่ได้ดี ทำไม่ได้เก่งกว่าชาวบ้านก็ไปเอาปี๊บคลุมหัวซะ ฉันไม่รักหรอก” <br /><br /> เราอาจจะนึกไม่ออกเอาเลยว่า รักโดยไม่หวังผล รักโดยไม่มีเงื่อนไข รักแบบให้เราเป็นใครก็ได้ ไม่ต้องเป็นใครที่แสนดี แสนเก่งนั้นเป็นเช่นไร เราอาจจะคิดไม่ออกเอาเลยว่า จะรักใครหรือเป็นที่รักของใคร โดยเราห่วยๆ ไม่เอาไหน หรือเป็นผู้แพ้ นั่นเป็นไปได้ในโลกใบนี้หรือUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-23130813883836582472009-07-12T07:00:00.003+07:002009-07-28T15:52:02.291+07:00บทความที่ ๑๕๙: ดุลยภาพในสัมพันธภาพ<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijXq2I2qY9wzkhKZC7uerWZ5GhVEt-mCQzJG0EwvTfYyHGA3qL_0m6bPkKKX1PKZ4CarPKNxlDcGZXj_PthU4Uax4u8m6u-jXBIZqTBidTcK2BKY6Mgpa1sbTsJ3AfY8ogMpzmRA/s1600-h/2864517145_1c3a58c757_m.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 240px; height: 172px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijXq2I2qY9wzkhKZC7uerWZ5GhVEt-mCQzJG0EwvTfYyHGA3qL_0m6bPkKKX1PKZ4CarPKNxlDcGZXj_PthU4Uax4u8m6u-jXBIZqTBidTcK2BKY6Mgpa1sbTsJ3AfY8ogMpzmRA/s320/2864517145_1c3a58c757_m.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5356124742244552914" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">ณัฐฬส วังวิญญู</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒<br /><br /> เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ ๖-๗ มิ.ย.๕๒ ที่ผ่านมา <span style="font-weight:bold;">เสมสิกขาลัย</span>ที่ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยทางเลือกของบ้านเราได้จัดคอร์สเรียนรู้เรื่อง <span style="font-weight:bold;">“ดุลยภาพในสัมพันธภาพ”</span> ขึ้น ผู้เขียนเลยได้กลับไปเยี่ยมสถานที่จัด คือ <span style="font-weight:bold;">เรือนร้อยฉนำ (สวนเงินมีมา)</span> อีกครั้ง หลังจากหายหน้าหายตาไปนาน ทุกครั้งที่ไปที่นั่นจะรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน เพราะได้พบปะกับผู้คนคุ้นเคยกัน ที่นั่นเป็นสถานที่สำหรับผู้ประกอบการทางสังคมที่คิดฝันและลงมือสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย และคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่กำลังใช้ชีวิตในการให้มากกว่าการกอบโกย เพื่อเติมเต็มความหมายและคุณค่าให้กับโลกใบนี้ได้อย่างน่าทึ่ง อย่างน้อยก็ช่วยให้สังคมยังมีข่ายใยชีวิตที่แบ่งปัน แลกเปลี่ยนและเรียนรู้อย่างนี้<br /><br /> แม้ว่าสถานที่จะอยู่ในตรอกเล็กๆ แถวคลองสาน ซึ่งอาจหายากสักนิดสำหรับผู้ที่ไม่เคยไป แต่หากได้ไปสักครั้งอาจทำให้รู้สึกว่าได้ค้นพบโอเอซิส หรือแอ่งธารแห่งน้ำใจอีกแห่ง มีร้านหนังสือและร้านกาแฟเล็กๆ เปิดทำการแทบทุกวัน ห้องสมุดบนชั้นสองก็มีหนังสือดีๆ ที่คัดสรรมาไว้ให้หยิบยืมอ่าน วันไหนที่มีรายการอบรมหรือเสวนาก็อาจมีหนังทางเลือกมาขายโดยผู้ขายเจ้าประจำของที่นั่น และที่สำคัญการได้พบปะแลกเปลี่ยนกับผู้คนที่ทำงานในโครงการต่างๆ ภายใต้มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปช่วยให้สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมให้ดีงามตามกำลังของตน โดยทั้งหมดนี้ริเริ่มมาได้ด้วยแรงบันดาลใจและวิสัยทัศน์ของ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้ช่วยหล่อเลี้ยงให้ข่ายใยชีวิตนี้ได้ขยายตัวไปพร้อมกับกิจกรรมทางสังคมที่กระตุ้นเตือนและสร้างความเป็นธรรม รวมทั้งปลุกให้เราต่างดำรงชีวิตอย่างมีสติและไม่เบียดเบียนกันและกัน ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่จัด<br /><br /> ในชีวิตเราต่างสัมพันธ์กับผู้คนมากมาย ความสัมพันธ์ที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือความสัมพันธ์ที่เราได้มาจากการเกิด นั่นคือกับพ่อแม่พี่น้องของเรา ความสัมพันธ์เหล่านี้สร้างความเป็นตัวเป็นตนให้กับเราตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ เพราะ<span style="font-weight:bold;">ทัศนคติและสุ้มเสียงผู้คนรอบข้างไม่เพียงแต่ส่งผลต่อเด็กตัวเล็กๆ ที่เป็นเราในวันนั้นเท่านั้น แต่ส่งผลต่อสิ่งที่เป็นเราในวันนี้มากกว่าที่คิด</span> เราเลือกที่จะเป็นบางอย่างและไม่เป็นหลายๆ อย่างด้วยเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยและการได้รับความรักหรือการยอมรับจากโลก เช่น เรารู้สึกดีหรือไม่ดีกับตัวเองในเรื่องอะไร เราเชื่อว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร<br /><br /> บางคนรู้สึกว่า “ฉันเป็นคนเข้มแข็ง พึ่งตัวเองได้ เด็ดเดี่ยว รับผิดชอบชีวิตตัวเอง แถมยังสามารถเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้ด้วย นี่เป็นสิ่งที่ฉันภูมิใจ” หรือบางคนอาจมองตัวเองว่า “ฉันเป็นคนมีเหตุมีผล ควบคุมและจัดการตัวเองได้ทุกครั้งที่เกิดปัญหา ฉันไม่โวยวาย ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ฉันให้เกียรติและเคารพคนอื่นเสมอ” หรือไม่ก็ “ฉันพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อให้ทุกคนรู้สึกพึงพอใจ ฉันไม่ต้องเป็นตัวของตัวเองมากนักหรอก ตราบใดที่ช่วยให้ผู้คนมีความสุขฉันก็พอใจแล้ว” เสียงภายในเหล่านี้ล้วนเป็นความสัมพันธ์ที่เรามีต่อตัวเองและกับผู้คนรอบข้าง เป็นเสียงที่ปลุกกระตุ้นศักยภาพหรือพลังงานในชีวิตพร้อมๆ กับการกดทับศักยภาพบางอย่างที่ขาดหายไปจากการรับรู้ของเรา ที่สำคัญเราตัดสินผู้อื่นไปตามมาตรฐานหรือนิสัยส่วนตัวของเราไม่น้อย แม้จะอ้างอิงแนวคิดหรือหลักการที่ครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใดก็ตาม <span style="font-weight:bold;">สุขทุกข์ในชีวิตของเราก็แปรสภาพตามมุมมองที่เรามีต่อตัวเองและผู้อื่นนี่แหละ</span><br /><br /> ผู้ที่เข้ามาร่วมเรียนรู้ในการสร้างสมดุลชีวิตคราวนี้มีประมาณ ๒๐ คน แต่ละคนมาจากหลากหลายหนทางชีวิต ซึ่งช่วยให้การเรียนรู้ของเราเข้มข้น บ้างก็เป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ ข้าราชการ หรือนักศึกษา อายุตั้งแต่ ๒๐ ต้นๆ ไปจน ๔๐ ปลายๆ ข้อสังเกตอันหนึ่งคือทุกคนตั้งใจมาเรียนรู้เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น ซึ่งต่างจากหลายๆ คอร์สที่ใช้วิธีกะเกณฑ์กันมาเรียน ซึ่งเมื่อไม่ได้ “เลือก” เอง พลังของการเปิดใจและค้นหาตัวตนภายในของติดขัดและแข็งกระด้าง<br /><br /> สิ่งที่เกิดขึ้นคือการได้รับรู้วงจรของการปกป้องตัวเองเมื่อชีวิตเข้าสู่ความหมิ่นเหม่ ไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ ที่ทำให้การปิดกั้น ปกปิดหรือก้าวร้าวเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะสังคมหล่อหลอมให้เราต่างมีหน้ามีตา มีฟอร์มหรือภาพลักษณ์ แม้กับคนใกล้ชิดเรายังรักษาฟอร์มเหล่านี้ไว้อย่างแข็งขันไม่เบื่อหน่าย ฟอร์มเหล่านี้อาจช่วยให้เรารู้สึกปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความห่างเหินในความสัมพันธ์ไปด้วย กระบวนการของการยึดติดที่เรียกว่าตัวตนนั้นมักเกิดขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หรือเกิดขึ้นได้เนียนมากๆ แม้ว่าจะมีสติกับตัวเองมากเพียงใด <span style="font-weight:bold;">สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เรารู้ตัวได้มากขึ้นคือการรับรู้หรือรับฟังจากเสียงรอบข้าง ที่มักคอยบอกหรือสะท้อนให้เราได้มองเห็นตัวเอง เสียงเหล่านี้ช่วยสะท้อนถึงโอกาสที่เราจะยอมรับและปรับเปลี่ยนตัวเองให้เกิดความสมดุลยิ่งขึ้น</span><br /><br /> ดังเช่น ผู้ชายคนหนึ่งบอกว่า “ผมไม่เคยรู้สึกหรือรับรู้ความรู้สึกของคนที่บ้านเลย ไม่เคยเห็นตัวเองเลยว่าผมเป็นฝ่ายถูกเสมอ ทำดีและหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนที่บ้านแล้ว” เรามักไม่ค่อยได้คิดทบทวนอยู่บ่อยๆ ว่า “สิ่งที่ดีที่สุด” นั้น จริงๆ แล้วดีสำหรับเราหรือเขากันแน่ บางครั้งการที่เราเหนื่อยหน่ายกับชีวิตก็เพราะเรา “ทำดีที่สุด” แล้วผลจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยตามยถากรรมอย่างนั้นหรือ หรือเราอาจต้องกลับมานั่งทบทวนง่ายๆ ดูว่า “ดีที่สุด” นั้นยังไม่ดีเท่ากับการถามว่า “ดีสำหรับใคร” หรือ “ใคร” คือผู้ที่กำลังทำดีที่สุด จากมาตรฐานอะไร หรือแนวคิดของใคร<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ความสัมพันธ์ในครอบครัวมักอยู่ในเงื่อนไขเหล่านี้ แต่ละคน “ทำดีที่สุด” ตามมาตรฐานหรือคุณค่าในโลกของตัวเอง และตีความหรือตัดสินการกระทำของคนอื่นในโลกของคนอื่น </span>เราจึงไม่อาจเข้าใจถึงความหมายของการกระทำหรือการพูดจาของเขาเหล่านั้นที่อาจรบกวนใจเราได้ และยิ่งแต่ละคนต่างสาละวนหรือวุ่นวายไปกับโลกของการคิด-พูด-ทำของตัวเอง เราก็ยิ่งมีเวลาน้อยลงที่จะกลับมาทบทวนชีวิต ความตั้งใจของเรา จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง ชีวิตที่ขาดสมดุลระหว่างการกระทำกับการได้หยุดนิ่งก็อาจยิ่งมองการหยุดนิ่งว่าไร้ความหมายหรือไร้ค่า เพราะไม่ได้สร้างผลลัพธ์อันใด ดังที่วงจรชีวิตแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในโลกปัจจุบัน<br /><br /> ในมุมมองของจิตวิทยาแบบ <span style="font-weight:bold;">“สัมผัสเสียงภายใน”</span> นี้ มองการเข้าใจตัวเองว่าคือการพัฒนาความสามารถในการรับรู้เสียงภายในตัวเรา ที่แตกต่างหลากหลาย ราวกับระบบนิเวศภายในที่มีชีวิตและส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของเราตลอดเวลา โดยแสดงออกผ่านอาการทางกาย สีหน้าท่าทาง อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยความตื่นรู้และการรับรู้ที่ละเอียดประณีตในการซึมซับสัมผัสถึงชีวิตภายในที่มีความหมายเหล่านี้ ตัวอย่างของแรงหรือเสียงเหล่านี้ เช่น แรงผลักดัน แรงฉุดรั้ง แรงตำหนิติเตียนตนเอง แรงควบคุมสั่งการ กำกับทิศทาง แรงหล่อเลี้ยงสนับสนุน ปลอบประโลม เป็นต้น การได้ยินเสียงเหล่านี้ช่วยให้เรารู้ว่าใครกำลังตัดสิน หรือเกิดความไม่พอใจอยู่ในตัวเรา <span style="font-weight:bold;">รับรู้แล้วก็ยอมรับ แล้วจึงเปิดโอกาสหรือเปิดใจให้กับเสียงอื่นๆ ที่ถูกกดข่มไว้ภายในให้ได้แสดงศักยภาพในชีวิตเรา สมดุลจึงจะเกิดขึ้นจากภายใน แล้วดุลยภาพภายนอกก็ค่อยๆ ตามมา</span> ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีความแน่นอนหรือตายตัว ไม่ต่างจากการปั่นจักรยานที่ต้องคอยประคับประคองชีวิตและความสัมพันธ์ที่เรามีกับคนรอบข้างไปทีละช่วงทีละวัน อย่างไม่มีที่สิ้นสุดUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-25845324638709822292009-07-05T07:00:00.001+07:002009-07-28T15:52:16.906+07:00บทความที่ ๑๕๘: อันเนื่องมาจากความรัก<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqDesOZVa3p77ZHkxmuVyZ6z3gRpBNGuVXM5FoDsq726TKa9_w3Mc_PTfhGn-SrIYwLAG7tsPBwz53eYvlT_NyNE0qsk36sSAkKUkHRPu8YNyHV3jeSp9L2FyostVjRjvflQ_wOw/s1600-h/where_is_love__by_julkusiowa.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 202px; height: 313px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqDesOZVa3p77ZHkxmuVyZ6z3gRpBNGuVXM5FoDsq726TKa9_w3Mc_PTfhGn-SrIYwLAG7tsPBwz53eYvlT_NyNE0qsk36sSAkKUkHRPu8YNyHV3jeSp9L2FyostVjRjvflQ_wOw/s320/where_is_love__by_julkusiowa.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5352595885000502690" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">มิรา ชัยมหาวงศ์</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒<br /><br /> <br /> มีเรื่องเล่าที่ผู้เขียนอ่านมาจากหนังสือ True Love ของท่านติช นัท ฮันห์ ท่านเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศเวียดนามในระหว่างสงคราม ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากต้องไปออกรบ สามีภรรยาคู่หนึ่งเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน ทั้งสองจำเป็นต้องพลัดพรากจากกันในขณะที่ฝ่ายหญิงกำลังตั้งท้อง เวลาผ่านไปนานหลายปี ฝ่ายหญิงให้กำเนิดบุตรชาย และอดทนเลี้ยงดูจนเติบโตขึ้นด้วยใจที่เฝ้ารอคอยสามีและหลายครั้งที่เกือบจะสิ้นหวัง<br /><br /> หลายปีผ่านไป วันหนึ่งสามีเดินทางกลับมาที่บ้าน ภรรยาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ทั้งสองต่างดีใจอย่างที่สุดที่ได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายสามีเดินทางไปไกล ไม่เคยพบหน้าลูกชายของตนมาก่อน เมื่อได้เห็นหน้าเด็กน้อยยืนจูงมืออยู่ข้างๆ ภรรยาของตนก็ปีติดีใจยิ่งนัก ฝ่ายภรรยาเองก็ดีอกดีใจเป็นอย่างมากที่สามีอันเป็นที่รักกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย จึงรีบเข้าเมืองไปหาเครื่องเซ่นไหว้ และซื้อหาอาหารกลับมาเลี้ยงต้อนรับ เมื่อเข้าไปในตลาดก็เล่าให้คนในหมู่บ้านฟังว่า สามีได้เดินทางกลับจากสงครามแล้ว และชาวบ้านต่างร่วมยินดีกับนางเป็นอย่างยิ่ง<br /><br /> ฝ่ายสามีก็เข้าไปพักผ่อนในบ้านกับลูกชาย แต่เนื่องจากลูกชายเกิดมาในระหว่างที่พ่อออกไปทำสงคราม ไม่เคยพบหน้าพ่อแท้ๆ ของตน จึงไม่คุ้นเคย มีท่าทีไม่ไว้วางใจ ผู้เป็นพ่อแสดงตนว่าเป็นพ่อ และพยายามเข้าไปกอดลูกชาย แต่ลูกชายกลับปฏิเสธและตอบว่า “ท่านไม่ใช่พ่อของข้า พ่อของข้ามาหาแม่ของข้าทุกคืนหลังจากแม่สวดมนต์ เขาจะมายามที่แม่ข้าร้องไห้ ฟังแม่ของข้าพูด เมื่อแม่ของข้านั่งเขาก็จะนั่ง เมื่อแม่ของข้านอน เขาก็จะนอน” ผู้เป็นพ่อได้ยินดังนั้นก็โมโห รีบเร่งออกจากบ้าน ภรรยากลับจากไปซื้อของพอดี สามีโกรธและด่าว่าภรรยาถึงเรื่องที่ลูกชายเล่าให้ฟัง ภรรยาที่พยายามเตรียมดูแลปรนนิบัติสามีหลังกลับจากศึกสงคราม เมื่อได้ยินคำด่าทอจากสามีก็เสียอกเสียใจ เป็นอันว่าในวันนั้นแทนที่จะมีงานเลี้ยงฉลอง กลับกลายเป็นมีเรื่องราวทะเลาะกันใหญ่โต จนชาวบ้านได้ยินเข้าก็เอาไปนินทา<br /><br /> ภรรยาไม่ได้แก้ตัวอะไร ในขณะที่สามีเอาแต่เสียอกเสียใจ วันๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่ดื่มเหล้า กลายเป็นคนดื่มจัด เมามาย ไม่กลับบ้าน และด้วยความโกรธก็ไม่ได้ซักถามอะไรภรรยา นานวันเข้า ภรรยาอดทนไม่ได้อีกต่อไปคิดว่า หากอยู่เช่นนี้เรื่อยไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด เธอจึงกระโดดน้ำตายที่แม่น้ำ ฝ่ายสามีจึงกลับบ้านมาเลี้ยงดูลูก และจัดการงานศพให้ภรรยา คืนหนึ่งขณะที่พ่อลูกกำลังนั่งทานข้าวในท่ามกลางแสงเทียนสลัวอยู่ในบ้าน ปรากฏเป็นเงาของคนอยู่บนกำแพง ลูกชายตะโกนและชี้ไปที่เงานั้นว่า “นั่นไง นั่นไง พ่อของข้า” แท้จริงแล้ว ที่ลูกชายเห็นว่าเป็นพ่อคือเงาของแม่ที่สะท้อนบนกำแพง ด้วยความคิดถึงสามี ภรรยาจะตื่นขึ้นมากลางดึก จุดเทียนเพื่อสวดมนต์อวยพรให้สามีในตอนกลางคืน แต่เพราะความทุกข์ทรมาน ทุกวันหลังสวดมนต์เธอจึงนั่งร้องไห้อยู่หน้าพระ จากนั้นจึงเข้านอน สิ่งที่ลูกชายเห็นและคิดว่าเป็นพ่อ คือเงาที่สะท้อนบนกำแพง เมื่อแม่นั่ง ภาพของเงาจึงเป็นคนนั่ง เมื่อแม่นอน ภาพเงาสะท้อนจึงเป็นคนนอน เมื่อสามีได้ยินเรื่องดังกล่าวจึงเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง<br /><br /> ผู้เขียนได้ใช้เรื่องนี้เป็นคติเตือนตัวเองอยู่เสมอในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น จากในเรื่อง หากสามีได้มีโอกาสซักถามภรรยา หรือภรรยาเก็บความน้อยใจของตนเองไว้แล้วหาโอกาสอธิบายให้สามีฟังถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้น คงไม่เกิดเรื่องราวน่าเศร้าเช่นนี้ <br /><br /> บ่อยครั้งที่ “การตีความ” ทั้ง “ของเรา” และ “ของเขา” ก็ทำให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องราวใหญ่ๆ ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ชิดซึ่งเป็นคนที่เราขาดสติได้บ่อยที่สุด ถ้าใจของเราอยู่ในภาวะซัดส่าย การตีความของเราก็จะยิ่งทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ภาวะอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเนื่องมาจากความรักทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบสามี ภรรยา พ่อแม่ กับลูก พี่กับน้อง ครูกับศิษย์ เป็นต้น<br /><br /> ท่านติช นัท ฮันห์ ยังให้แนวทางเกี่ยวกับพรหมวิหาร ๔ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของความรักที่แท้เอาดังนี้<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">เมตตา</span> หมายถึง “ความสามารถ” ในการนำพาความสุขมาสู่บุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งจะเป็นความรักแบบไหนก็ได้ และยังหมายรวมถึงความรักของมวลมนุษยชาติอีกด้วย ความเมตตา ในอีกนัยยะหนึ่งก็คือ “ความเข้าใจ” บ่อยครั้งที่เรารักใครสักคน ความรักของเรากลับทำร้ายเขา ความรักของเราทำให้เขากลับรู้สึกอึดอัด ลำบากใจ<br /><br /> ความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้ต้องฝึก “การมองอย่างลึกซึ้ง” หรือ Deep Looking คือการมองเข้าไปให้เห็นถึงภายใน ให้เห็นและเข้าใจถึงความทุกข์ของอีกฝ่าย โดยให้ความสำคัญกับ “การอยู่ตรงหน้า” และให้ความสำคัญกับบุคคลที่อยู่ตรงหน้าของเราอย่างแท้จริง<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">กรุณา</span> หมายถึง ความสามารถในการทำให้บุคคลที่เรารักพ้นทุกข์ โดยการจะช่วยคนที่เรารักให้พ้นทุกข์นั้น เชื่อมโยงกับการฝึกสายตาแห่งการมองอย่างลึกซึ้ง ให้ถึงแก่นถึงหัวใจ ทำความเข้าใจธรรมชาติของความทุกข์ทรมานที่เขากำลังเผชิญอยู่ เพื่อค้นหาวิธีการพาคนที่เรารักก้าวล่วงพ้นจากความทุกข์ การฟังอย่างลึกซึ้ง หรือ Deep Listening คือ การฟังเสียงของความคิดความรู้สึก และให้ลึกไปถึงเจตนาของผู้พูด ซึ่งการฟังอย่างลึกซึ้งนี้เองก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถพาให้คนก้าวล่วงจากทุกข์ได้<br /><br /> การหล่อเลี้ยงดูแลความสุขซึ่งกันและกัน หรือ <span style="font-weight:bold;">มุทิตา</span> ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่สำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกัน ในความสัมพันธ์ต่างฝ่ายต่างควรเติมเต็มความชื่นบานซึ่งกันและกัน การมอบความรักที่แท้ให้แก่กันนั้น นอกจากผู้รับมีความสุขแล้ว ผู้ให้ความรักก็ควรจะได้รับความสุขจากการให้ด้วยเช่นกัน<br /><br /> สุดท้ายคือ <span style="font-weight:bold;">อุเบกขา</span> ซึ่งในที่นี้หมายถึง อิสรภาพ ความรักที่แท้ย่อมให้อิสรภาพแก่ใจทั้งของผู้ให้และผู้รับ ผู้รับก็ไม่อึดอัดจากความคาดหวัง และผู้ให้ความรักก็เป็นอิสระไม่ยึดถือ เป็นเจ้าเข้าเจ้าของมากเกินไป ในอุเบกขานี้ อีกนัยหนึ่งคือ “พื้นที่” หรือ Space ในความสัมพันธ์ที่สมดุลนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม “พื้นที่” ถือเป็นศิลปะเฉพาะของแต่ละความสัมพันธ์ เป็นความรักที่ดำรงไว้ซึ่งอิสรภาพ รักเขาอย่างที่เขาเป็นเขาได้โดยปราศจากเงื่อนไข หรือมีเงื่อนไขให้น้อยที่สุด<br /><br /> ในทุกความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ตัวนั้น แม้จะมีความรู้หรือจดจำข้อธรรมต่างๆ ได้มากมาย แต่สิ่งที่จำเป็นมากที่สุด คือ <span style="font-weight:bold;">“สติ”</span> บ่อยครั้งที่ความหวังดีอันเกิดขึ้นมาจากความรักของเรา ได้สร้างความอึดอัดให้กับผู้คนรอบข้าง และบ่อยครั้งที่เรามักคิดที่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้เขาเป็นได้ดังใจ ถ้าเขาเป็นไม่ได้อย่างนั้นเราก็จะฟาดหัวฟาดหาง ด้วยอาการต่างๆ นานา และพาลคิด (เอาเอง) ว่าเขาทำให้เราผิดหวัง<br /><br /> อันที่จริงความรักนั้นเป็นสิ่งสวยงาม <span style="font-weight:bold;">หากแต่ความรักที่แท้นั้นต้องประกอบด้วยปัญญาอันเป็นความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และสติรู้เท่าทันตนเอง </span>สองสิ่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของหนทางสู่ความรักที่แท้Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-43887788219805290892009-06-28T07:00:00.003+07:002009-07-28T15:52:40.593+07:00บทความที่ ๑๕๗: ความรักกับการเติบโตทางจิต<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyQ2pBWcGh3qGMgl1h0mK1pS7r3INiyMPoxE4P7c1UF_Bhwn8m_mDLY2ANcwqKDH8CtGsV7DPcSp10WD05-SIkmxU1mJpRLMCx-lQ6_CUMCw5SjgXrDrjoLmNm80_iGGUxy6Rv9w/s1600-h/ntholdhands.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 264px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyQ2pBWcGh3qGMgl1h0mK1pS7r3INiyMPoxE4P7c1UF_Bhwn8m_mDLY2ANcwqKDH8CtGsV7DPcSp10WD05-SIkmxU1mJpRLMCx-lQ6_CUMCw5SjgXrDrjoLmNm80_iGGUxy6Rv9w/s320/ntholdhands.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5352393077924478018" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">พงษธร ตันติฤทธิศักดิ์</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๒<br /><br /> <br /> ผมเป็นคนศูนย์ใจที่ห่วงใยความรู้สึกของคนอื่น และใส่ใจว่าคนอื่นจะรักและยอมรับผมอย่างไร จุดแข็งของการเป็นคนศูนย์ใจ อยู่ที่สามารถรับรู้ความรู้สึกอย่างละเอียดอ่อนได้ดี แต่จุดอ่อนคือ ผมจะจมและหลงไปกับอารมณ์และความรู้สึกได้ง่าย ด้วยความเป็นคนศูนย์ใจ ทำให้การค้นหาความหมายของชีวิต หรือตั้งคำถามชีวิต หลายๆ ครั้งมักเกี่ยวข้องกับ “ความรัก”<br /><br /> นอกจากนี้ ผมมักจะมีแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ นับตั้งแต่วัยรุ่นแรกเริ่มก็เข้าร้านหนังสือ วนเวียนอยู่กับชั้นหนังสือจำพวกปรับปรุงตนเอง (How-To/Self Improvement) วัยรุ่นตอนปลายก็เข้าร่วมกลุ่มชมรมที่มุ่งพัฒนาตนเองหลายกลุ่ม ไปจนถึงบวชเป็นพระอยู่หนึ่งพรรษา แล้วมาเรียนปริญญาเอกทำวิจัยเรื่องการพัฒนาจิต และทำงานด้านจิตตปัญญาศึกษาและการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง<br /><br /> จนถึงขณะนี้ ผมและภรรยา กับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ได้ร่วมกันก่อตั้ง “สถาบันปลูกรักเพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตและการทำงาน” (www.plukrakinstitute.com) เพื่อจัดอบรม ให้คำปรึกษา และสร้างการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับ “ความรัก” และ “การพัฒนาจิต” ให้เกิดขึ้นในปัจเจกบุคคล องค์กร และสังคม<br /><br /> สิ่งนี้นับเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญที่จะทำให้ผมได้สานต่อการค้นหาทั้งสองเรื่องไปพร้อมกัน โดยเรียนรู้ “ความรัก” ให้จบสิ้นดินฟ้ามหาสมุทร และฝึกฝน “พัฒนาจิต” อย่างรอบด้านจนเกิดปัญญาสมบูรณ์ และผมก็มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า องค์ความรู้ที่เราได้รวบรวมกันจะได้รับการแบ่งปัน และร่วมสร้างสังคมแห่งความรักและปัญญาไปด้วยกันกับทุกท่าน<br /><br /> ในช่วงที่เรากำลังก่อตั้งสถาบัน คุณจารุประภา วะสี และคุณสมสิทธิ์ อัสดรนิธิ พิธีกรรายการวิทยุ “สร้างจิตรู้ สู่จิตรัก” ทางคลื่นวิทยุไทย ความถี่ 105 MHz ก็ได้ติดต่อเชิญผมเข้ามาเป็นแขกประจำของรายการ ผมจึงเกิดความคิดว่า น่าจะได้พูดออกอากาศในซีรีส์ “ความรักกับการเติบโตทางจิต” เสียเลย เพื่อสื่อสารสิ่งที่พวกเราในสถาบันปลูกรักฯ กำลังร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน<br /><br /> ตอนที่หนึ่งผมได้เล่าถึงความรัก ๕ ระดับของมนุษย์ มนุษย์ค้นพบความรักครั้งแรกในชีวิตในความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับแม่ เมื่อมนุษย์ตัวน้อยคนนั้นมีจิตรับรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่แม่เท่านั้น แต่มีคนอื่นในครอบครัวอีก และความรักก็สามารถขยายเติบใหญ่ ไปสู่คนอื่นๆในครอบครัว เมื่อมนุษย์คนเดียวกันเติบโตต่อไป รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่คนในครอบครัวเท่านั้น แต่มีเพื่อนต่างครอบครัวด้วย ความรักจึงขยายใหญ่ขึ้นไปสู่เพื่อนต่างครอบครัวได้ เช่นเดียวกันเมื่อมนุษย์มีจิตที่เติบโตขยายใหญ่ขึ้นไปอีก จึงได้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่เพื่อนร่วมก๊วนของเขาเท่านั้น แต่ยังมีคนอื่นๆ ในสังคม ชุมชน หรือองค์กรที่เขาเป็นสมาชิกด้วย ความรักของเขาและเธอจึงขยายใหญ่กว้างขวาง<br /><br /> ตราบจนมนุษย์ผู้นั้นได้เรียนรู้อีกว่า โลกนี้ไม่ได้มีแต่คนในสังคมที่เขาอาศัยอยู่เท่านั้น แต่ยังมีคนนอกสังคม เป็นเพื่อนร่วมมนุษยชาติ ที่แม้จะมีความคิด ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปตามความเชื่อและวัฒนธรรมของเขา แต่แก่นแท้แล้วเขาก็เป็นมนุษย์ที่มีหัวจิตหัวใจเหมือนกัน ความรักที่ให้เพียงแก่คนกลุ่มก้อนความเชื่อเดียวกัน จึงมีโอกาสขยายข้ามพรมแดนวัฒนธรรมความเชื่อ จากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่ง เป็นความรักเพื่อนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่<br /><br /> ผมเชื่อว่า สังคมไทยกำลังต้องการความรักขนาดใหญ่ในระดับนี้อย่างมาก เพราะความรักเช่นนี้เอง จึงจะพาคนไทยข้ามพรมแดนสีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว และสีอื่นๆ ที่ผุดขึ้นมาตามๆ กันในสังคมไทย<br /><br /> ยัง ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้! มนุษย์ยังขยายความรักออกไปได้อีก<br /><br /> แต่ก่อนจะเล่าต่อ ผมอยากกลับไปพูดถึงความรักครั้งแรกของมนุษย์ ที่ไม่ใช่รักปิ๊งปั๊งปุบปับของหญิงสาวชายหนุ่ม แต่เป็นรักของลูกกับแม่ แม้ว่าโลกที่มีแต่แม่เท่านั้นจะมีขนาดเล็กมาก เมื่อเทียบกับโลกที่มีทั้งมนุษยชาติ แต่ความรักที่มนุษย์คนหนึ่งได้มอบให้กับแม่ผู้ให้กำเนิดจะเป็นพื้นฐานที่มั่นคงให้มนุษย์ขยายความรักของเขาออกไปสู่คนอื่นๆ<br /><br /> เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง ความรักแม่ก็เป็นฐานให้กับความรักอีกสี่ระดับที่สูงใหญ่ขึ้นไป ความรักครอบครัวเป็นฐานให้กับความรักอีกสามระดับที่สูงใหญ่ขึ้นไป ความรักเพื่อนเป็นฐานให้กับความรักอีกสองระดับ และความรักสังคมเป็นก็ฐานให้กับความรักมนุษยชาติ <span style="font-weight:bold;">หากวัดกันที่มุมมอง “ความเป็นฐาน” ความรักแม่มาเป็นอันดับหนึ่งนะครับ แต่หากวัดกันที่ “ความใหญ่” (ในที่นี้หมายถึงจำนวนคน) ความรักมนุษยชาติก็มาเป็นอันดับหนึ่ง</span><br /><br /> ความรักมนุษยชาติเป็นฐานให้กับความรักที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับ (ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเติบโตทางจิตของมนุษย์) <span style="font-weight:bold;">ความรักใหญ่ที่สุดที่มนุษย์หนึ่งคนสามารถมีได้</span> คือความรักระดับจักรวาล ความรักนี้เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์รู้ว่า โลกนี้ไม่ได้มีแต่มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น ยังมีสัตว์ พืช ป่าเขา โมเลกุล อะตอม ดวงดาว ฯลฯ ความรักระดับจักรวาลจึงใหญ่กว้างขวาง ครอบคลุมสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั่วทั้งจักรวาล<br /><br /> เนื่องด้วยจักรวาลนี้เป็นจักรวาลแห่งการผุดเกิดสิ่งใหม่อยู่เสมอ กล่าวคือธาตุขันธ์ต่างๆ ของจักรวาลที่กำลังวิวัฒน์ คลี่ขยายและม้วนซ่อน สร้างสัตว์ผุดเกิดใหม่ มนุษย์ใหม่ โลกใหม่ จักรวาลใหม่ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความรักระดับจักรวาลจึงเป็นความรักที่ให้พื้นที่สำหรับการเกิดสิ่งใหม่ โอบอุ้มและต้อนรับสิ่งใหม่<br /><br /> ท่านมีโอกาสจะได้เรียนรู้และมีความรักให้กับสิ่งผุดเกิดใหม่ได้อยู่เสมอในชีวิตประจำวัน หากท่านเป็นพ่อแม่ ลูกจะเป็นตัวแทนที่ดีของการเกิดสิ่งใหม่ เพราะแม้ว่าท่านจะสอนลูกมาเองกับมือ เขาก็จะเติบโตออกไปเป็นสิ่งใหม่ที่ท่านไม่เคยสอนมาก่อน หากท่านเป็นผู้ใหญ่ ขอให้เปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ได้สร้างสรรค์งานใหม่ๆที่ท่านไม่เคยคุ้นมาก่อน ไม่ว่าท่านจะเป็นใครอยู่ในตำแหน่งใด ลดการเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เพิ่มการช่วยเหลือบริการคนอื่น อนุรักษ์โลกและธรรมชาติ รักสรรพสัตว์เหมือนลูกเหมือนหลาน เหมือนพ่อเหมือนแม่ ท่านก็จะพบว่าท่านกำลังกลายเป็นคนใหม่ และสามารถรักตัวเองที่เป็นคนใหม่ได้อย่างเต็มหัวใจ<br /><br /> ตลอดเส้นทางของการเติบโตทางจิต มนุษย์นั้นสามารถตระหนักและรับรู้สิ่งต่างๆ มากขึ้นตามลำดับ แต่เราจะเรียกว่ามนุษย์ผู้นั้นเติบโตอย่างแท้จริงได้หรือไม่ คำตอบอยู่ที่ความรักเท่านั้น เพราะแม้ว่าจะเขาจะรับรู้ได้ถึงอะไรต่างๆมากมาย แต่ถ้าเขารักเพียงแค่ตัวเอง...โลกนี้จะเป็นอย่างไร จักรวาลนี้จะเป็นอย่างไร<br /><br /> ผมเสียดายที่ไม่ได้พูดถึงประเด็นความรักระดับจักรวาลมากนัก ในรายการวิทยุตอนนั้น จึงถือโอกาสมาเขียนไว้เพิ่มเติมที่ตรงนี้ และขอทิ้งท้ายด้วยคำถามใคร่ครวญไว้ ดังที่พูดในรายการวันนั้นเช่นกันว่า <span style="font-weight:bold;">“ในฐานะมนุษย์หนึ่งคน ท่านมีความรักยิ่งใหญ่เพียงไร”</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-67384358644327499712009-06-21T07:00:00.001+07:002009-07-28T15:53:12.369+07:00บทความที่ ๑๕๖: กาลเวลา<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHMNdqTL_0iX4vSFGtMR3vareLkcV-DqCxhZeeiBTH-6IsFZ66PKuZH7tYvDOvNc8uYlmuoGOVNUs6918iFTGSbSqIRwWrHkca6MTx5mfggeooxa9Ur12E-A-l2FocYQh6-AHpAA/s1600-h/2008_08_22+clock+speaker.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 310px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHMNdqTL_0iX4vSFGtMR3vareLkcV-DqCxhZeeiBTH-6IsFZ66PKuZH7tYvDOvNc8uYlmuoGOVNUs6918iFTGSbSqIRwWrHkca6MTx5mfggeooxa9Ur12E-A-l2FocYQh6-AHpAA/s320/2008_08_22+clock+speaker.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5349389411374627090" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">ชลลดา ทองทวี</span><br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๒<br /> <br /> วันนี้ผู้เขียนได้เดินทางย้อนเข็มนาฬิกาไปพบปะกับอดีตของตัวเอง และได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวสิ่งที่หายไปในชีวิตกลับคืนมาบ้าง<br /><br /> ชีวิตในสังคมยุคเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปเร็วมาก จนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ซื้อมาราคาหลายหมื่นบาทเมื่อปีที่แล้ว กลายเป็นเหมือนวัตถุโบราณในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา เรามัวแต่กระหืดกระหอบวิ่งตามปัจจุบันที่วิ่งล้ำหน้าอนาคตไปเสียอีก จนทำให้ไม่มีเวลาได้ชื่นชมหลายสิ่งที่เคยมีคุณค่ายิ่งในชีวิต<br /><br /> งานฌาปนกิจศพของคุณลุงเขย มันฟังดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ ... ก็แค่คุณลุงเขยเสียชีวิต ยิ่งในสังคมทุกวันนี้ที่ญาติพี่น้องก็ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้าเท่าไร แค่พอจะมีดีเอ็นเอร่วมกันเท่านั้น แล้วเขยสะใภ้จะสำคัญอะไร<br /><br /> แต่ว่าสำหรับที่บ้านแล้ว เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนอะไรที่ช่วยหยุดเข็มนาฬิกาซึ่งหมุนเร็วเหลือเกินไว้ชั่วขณะ ช่างเป็นเวลาหยุดพักและทบทวนตนเองที่งดงามเหลือเกิน<br /><br /> คุณแม่วัย ๗๗ ปี ผู้อยู่ที่บ้านไร่ในภูเรือ และไม่ยอมลงมากรุงเทพฯ นานแล้ว กลับตัดสินใจทิ้งสุนัขชราตัวโปรดให้อยู่ในการดูแลของเพื่อน เพื่อเดินทางมาร่วมงานศพ เพราะว่า “คุณลุงเป็นคนดีเหลือเกิน ไม่เคยมีอคติกับใคร”<br /><br /> ครอบครัวของผู้เขียนเป็นครอบครัวที่แปลกๆ คุณแม่ผู้สูงอายุแล้ว เลือกไปอยู่คนเดียวที่บ้านไร่บนภูเขากับสุนัขฝูงหนึ่ง เพราะว่า “ทั้งชีวิต ไม่เคยได้อยู่คนเดียว” มันก็เป็นการเลือกที่น่าสนใจและได้รับการเคารพจากลูกๆ หลานๆ คุณแม่ขับรถไปตลาดเอง มีความสุขอยู่กับต้นไม้ ดอกไม้ และธรรมชาติในไร่<br /><br /> การเดินทางมายังกรุงเทพฯ ของคุณแม่ครั้งนี้ ทำให้เราพี่น้องสามคนได้มารวมตัวกันด้วย นานทีปีหน เราจึงจะได้มาพบกันพร้อมหน้า คงเป็นเพราะว่าพี่สาวคนโตมีลูก ๔ คน และวุ่นอยู่กับภารกิจการเป็นคุณแม่ น้องชายคนเล็กก็วุ่นกับการทำงาน ทั้งสามคนพี่น้องต่างอยู่กันคนละจังหวัด แม้ว่าเราจะโทรศัพท์คุยกับคุณแม่ทุกคืน และผลัดกันไปเยี่ยมคุณแม่ แต่ก็ไม่ค่อยจะได้มาพบกันเอง ชีวิตประจำวันแต่ละวันช่างเรียกร้องจากเรามากเหลือเกิน และเป็นเช่นนี้อย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว จนกระทั่งเวลาที่ควรให้กับพี่น้องแท้ๆ ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน กลับกลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็น หรือว่ามากเกินไป <br /><br /> ตอนใกล้เที่ยง เราร่วมเลี้ยงภัตตาหารเพลในพิธีบวชหน้าไฟของหลาน ได้พบกับลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ได้พบกันมาสิบกว่าปี คุณป้าหรือพี่สาวของคุณพ่อของผู้เขียน ผู้เป็นแม่ของลูกพี่ลูกน้องกลุ่มนี้ มีอาการหลงลืม จำใครไม่ค่อยได้แล้ว ซึ่งเป็นไปตามวัย คุณพ่อของผู้เขียนเองก็เสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุเมื่อสิบกว่าปีก่อน ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับญาติฝ่ายคุณพ่อ จึงมีเหลืออยู่น้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การได้มาพบเจอกับลูกพี่ลูกน้องที่เป็นลูกของคุณป้าในวันนี้จึงมีความหมายมากจริงๆ<br /><br /> มันเป็นพิธีที่เรียบง่ายมาก มีแต่ญาติพี่น้องกลุ่มเล็กๆ นี้ ได้เห็นหลานที่ไม่ได้เจอมานาน เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เราเป็นญาติสนิทกันโดยสายเลือด แต่อะไรในยุคสมัยที่เร่งเร็วนี้ ทำให้เราไม่ได้พบเจอกันเอาเสียเลย นอกจากในวันนี้ วันที่คุณลุงเขยจากเราไป ท่านมีน้ำใจดูแลพวกเราที่เป็นหลานของภรรยาอยู่บ่อยๆ เราก็ได้แต่มาขอบคุณท่านในงานศพ<br /><br /> ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้คนหลายคนในชีวิตก็อาจเป็นเช่นนี้ ได้พบเจอกัน แล้วก็หาเวลาไปเยี่ยมเยือนแทบจะไม่ได้ จนวันสุดท้าย<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">คำถามที่ผุดขึ้นในใจคือ นี่เราจะรีบไปไหนกันนะ</span><br /><br /> ในตอนบ่าย ลูกพี่ลูกน้องพาคุณป้ามางานศพคุณลุงเขยด้วย ท่านนั่งยิ้มแย้มอารมณ์ดี แต่จำใครไม่ได้ และไม่ได้ร้องไห้เสียใจกับการจากไปของคู่ชีวิต เพราะไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเท่าไรแล้ว คุณแม่ของผู้เขียนเข้าไปกราบท่าน ท่านก็โอบกอด เราพากันสงสัยว่าท่านจำน้องสะใภ้ได้หรือเปล่า ทั้งคู่พูดคุยยิ้มแย้มกัน โดยคนหนึ่งจำอะไรไม่ได้ ทั้งอดีตที่เป็นความสุขและความทุกข์ที่เคยผ่านมาด้วยกัน แต่อีกคนหนึ่ง คือคุณแม่ของผู้เขียน ร้องไห้ <br /><br /> ชีวิตของเรามีอะไรบ้างที่สำคัญ มันอาจจะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ที่เรากำลังตามหาและไขว่คว้า แต่เป็นสิ่งเล็กๆ ที่งดงามที่เรามีอยู่แล้ว เช่น ครอบครัวเล็กๆ ของเรา<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">เราปรารถนาความเป็นชุมชน ความเป็นองค์รวมในโลก ในจักรวาล เราวิ่งตามหาคำใหญ่ๆ ที่เป็นอุดมคตินี้ในโลก แต่สิ่งที่จักรวาลได้ให้เรามาแล้วที่เป็นชุมชนโดยธรรมชาติ คือครอบครัวของเราแท้ๆ ชุมชนที่รักและดูแลเรามา แต่เรากลับมีเวลาที่จะทะนุถนอมและโอบอุ้มให้ผู้คนเหล่านี้ได้เติบโตทุกย่างก้าวไปด้วยกันกับเราน้อยเหลือเกิน</span><br /><br /> วันนี้ เหมือนได้ดูภาพยนตร์ย้อนเวลา คิดถึงวันที่คุณป้ามาเปิดประตูรับเวลาเราไปค้างที่บ้าน และทำอาหารให้ทาน คิดถึงคุณลุงเขยที่รับไหว้เราและให้พรอย่างอบอุ่น คิดถึงลูกผู้พี่ที่โตกว่าเรา และเคยพาเราไปเที่ยวสวนสนุก คิดถึงเจ้าหลานตัวน้อยที่เราเห็นนอนแบเบาะ ในวันนี้ เขาได้เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกับที่เราสอนอยู่แท้ๆ แต่เราไม่ได้มีโอกาสรู้เลย เขากลายเป็นศิลปินหนุ่มที่น่ารักและสดใส เดินถือภาพคุณลุงเขย หรือคุณปู่ของเขา นำหน้าขบวนแห่ศพเวียนรอบเมรุ <br /><br /> วันนี้ ได้มองเห็นว่าแต่ละคนที่เกิดมาในโลกต่างก็ได้รับสมบัติอันล้ำค่า คือการมีญาติพี่น้อง มีชุมชนที่อุดมยิ่งของชีวิตมาตั้งแต่เกิด แน่ล่ะว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่มีสิ่งนี้ แต่ว่าใครที่ได้รับพรอันนี้แล้วละเลยไปไม่ได้มองเห็น ในวันหนึ่งเช่นวันนี้ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ที่จักรวาลจัดสรรให้เราได้สัมผัสโดยธรรมชาตินี้ ก็อาจจะยื่นอ้อมกอดมาโอบอุ้มดูแลและสัมผัสเรา ในเวลาที่เรารู้สึกว่า เกือบจะสายเกินไปเสียแล้ว<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าสิ่งเล็กๆ ที่เรามี </span> เราอาจจะหยุดเวลาที่ดูเหมือนจะเร่งเร็วไม่รู้จบ เพื่อลองมองสำรวจสิ่งเล็กๆ ที่ล้ำค่ายิ่งในชีวิตดูบ้าง วันนี้ เราได้อยู่กับสิ่งเล็กๆ ที่งดงามนั้น อย่างเต็มเปี่ยมบ้างหรือยัง <br /><br /> หรือเราจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ ที่อาจจะไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่กับเราอีกต่อไปแล้ว <br /><br /> เพราะว่ากาลเวลาไม่มีค่าในตัวเอง แต่<span style="font-weight:bold;">สิ่งที่เราได้เติมเต็มเข้าไปในกาลเวลาเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน</span> :-)Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-48977786017019077222009-06-14T07:00:00.001+07:002009-07-28T15:53:32.831+07:00บทความที่ ๑๕๕: เต้นรำตามจังหวะชีวิต<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFERoYHfKTYZsZCceNo0DkDJbxylKxVPU520HDsTuCrvplL5SxdJB7zqVodI0LvK9167anODPo78kF2Xe1HCjYeNhOSp0U9r6PS9XKrz3Zp-yIzF0-1duSBjoIl9gDbS6f-soLoA/s1600-h/2863056761_57398cb414_m.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 240px; height: 160px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFERoYHfKTYZsZCceNo0DkDJbxylKxVPU520HDsTuCrvplL5SxdJB7zqVodI0LvK9167anODPo78kF2Xe1HCjYeNhOSp0U9r6PS9XKrz3Zp-yIzF0-1duSBjoIl9gDbS6f-soLoA/s320/2863056761_57398cb414_m.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5345304081178555554" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">พูลฉวี เรืองวิชาธร</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๒<br /><br /> ณ โรงพยาบาลบ้าแห่งหนึ่งมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก ทำให้มีเนื้อที่ไม่เพียงพอต่อการรับรักษา จึงจัดการทดสอบผู้ป่วย โดยสูบน้ำออกจากสระว่ายน้ำจนแห้ง แล้วปล่อยผู้ป่วยให้ลงไปเล่นน้ำในสระ มีเกณฑ์ว่าหากผู้ป่วยคนใดไม่ลงไปเล่น แสดงว่าหายดี ก็จะให้กลับบ้าน หลังจากปล่อยให้ลงไปเล่นน้ำ คนบ้าทุกคนต่างก็ลงไปเล่นอย่างสนุกสนาน แต่ทว่ามีรายหนึ่งนั่งอยู่ริมสระและไม่ลงไปเล่นน้ำกับเพื่อนๆ<br /><br /> คุณหมอ : อ้าวไข่นุ้ยไม่ลงไปเล่นน้ำกะเพื่อนล่ะ<br /><br /> ไข่นุ้ย : หมอจะบ้ารึป่าว<br /><br /> คุณหมอ : ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเธอหายแล้ว เดี๋ยวหมอจะส่งเธอกลับบ้าน<br /><br /> ไข่นุ้ย : ก็ได้ครับ แต่ก่อนจะส่งผมกลับบ้าน หมอช่วยสอนผมว่ายน้ำก่อนซิครับ ผมจะได้ลงไปเล่นน้ำกะเพื่อนก่อนกลับบ้าน<br /><br /> -----------------------------------------------<br /><br /> จากเรื่องเล่านี้เราก็ไม่รู้ว่าหมอหรือไข่นุ้ยบ้ากันแน่ แต่อ่านแล้วก็นึกขำตัวเองและทำให้ได้คิดไปอีกมุมหนึ่งว่าบางขณะเราก็บ้าเช่นกัน ท่านผู้อ่านเคยคิดหรือเคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังบ้าอยู่บ้างไหม? บ่อยครั้งที่ผู้เขียนตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราบ้าอยู่หรือเปล่า? กำลังทำอะไรอยู่? ต้องการอะไรกันแน่? มีความสุขจริงหรือกับสิ่งที่กำลังทำ? และมักจะบอกตัวเองว่ากำลังทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง ต่อผู้อื่น ต่อสังคม แต่เพราะอะไรจึงหงุดหงิดอารมณ์เสียได้ง่ายๆ เหมือนคนบ้าที่พูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องโดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว เหนื่อยหน่ายกับการดำรงชีวิต เครียด ท้อแท้ บางครั้งถึงกับเกือบหมดหวัง ความมีชีวิตชีวาความสดชื่นสดใสที่เคยมีหายไปไหนหมด เรากำลังเดินถูกทางจริงหรือ? ภาระที่ต้องรับผิดชอบมันหนักเกินไปไหม? คำถามเหล่านี้วนเวียนเข้ามาทักทายในใจผู้เขียนอยู่เสมอ<br /><br /> สภาพสังคมปัจจุบันมีเหตุมากมายที่ก่อให้เกิดความเครียดกดดัน ความไม่พึงพอใจ ความโกรธ จนทำให้หลายคนมีสภาวะบ้าทางอารมณ์ได้ง่ายๆ บางคนบอกว่ากำลังเป็นโรคมะเร็งอารมณ์ระยะลุกลาม<br /><br /> ยิ่งสภาพของคนที่อยู่ในมหานครใหญ่โตหรูหรานั้นน่าเศร้ากว่าคนต่างจังหวัด นับตั้งแต่เช้าลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องเร่งรีบจัดการภารกิจส่วนตัวเพื่อจะไปให้ทันเวลา ก้าวขาออกจากบ้านก็พบกับรถยนต์ต่อแถวยาวเหยียด แถมรถมอเตอร์ไซค์นับร้อยๆ คันที่ทะลักออกมาบนท้องถนนในเวลาไล่เลี่ยกัน การดำเนินชีวิตลำบากมากขึ้น ทั้งค่าครองชีพสูง สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก<br /><br /> บรรยากาศการแข่งขันในเกือบทุกเรื่องของชีวิตก็เป็นอีกวังวนหนึ่งที่ทำให้เกิดแรงเครียดกดดัน เริ่มแต่เป็นเด็กเล็กก็มีพ่อแม่ผู้ปกครองแข่งกันให้ได้เข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โตขึ้นมาหน่อยก็พากันเรียนพิเศษจนไม่มีเวลาให้เล่นหรือได้ใช้ความเป็นเด็กให้คุ้มค่า พอเข้ามหาวิทยาลัยก็แข่งให้ได้เรียนในคณะและมหาวิทยาลัยมีชื่อที่ตลาดแรงงานต้องการ จบออกมาจะได้หางานที่รายได้สูงๆ พอได้งานแล้วคิดว่าชีวิตจะสงบสุขแต่ก็มิวายยังต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้ผลงานโดดเด่นเป็นที่ยอมรับ เพราะหวังว่าจะมาพร้อมกับผลประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหน้าที่ ทรัพย์สินเงินทอง<br /><br /> นอกจากนี้เรายังถูกแรงกดดันจากสภาพการเมืองแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายจนก่อให้เกิดความขัดแย้งความรุนแรงรายวัน รวมถึงภาวะวิกฤติทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น บางแห่งน้ำท่วมรุนแรง บางแห่งขาดแคลนน้ำ<br /><br /> ถึงแม้ว่าในสังคมปัจจุบันมีความเจริญทางเทคโนโลยีที่ช่วยทุ่นแรงกายไปได้มาก แต่ก็น่าแปลกใจว่าความสุขใจของคนเรากลับลดน้อยถอยลงเข้าถึงได้ยากเข้าไปทุกที<br /><br /> ผู้เขียนเองก็เป็นคนหนึ่งที่เวียนว่ายใช้ชีวิตอยู่ในวิถีของคนเมืองหลวงและต้องประสบกับสภาวะดังกล่าว ช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็รับรู้ได้ถึงความเครียด ความกดดัน ความเหนื่อยหนักจนทำให้สุขภาพร่างกายแย่ลง โรคภูมิแพ้เริ่มย่างกรายเข้ามาหา เมื่อต้องเดินทางไปทำงานในที่ต่างๆ ผิดที่ผิดทางนิดหน่อยก็มีผื่นขึ้นตามเนื้อตัวได้ง่ายๆ ปวดหัวข้างเดียวโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่บ่อยๆ มือเท้าเริ่มมีอาการชา นอนเท่าไรก็ยังไม่รู้สึกพอ<br /><br /> อาการทางร่างกายแย่ก็ยังพอทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในบางครั้งได้ แต่อาการทางจิตใจยิ่งแย่กว่า หงุดหงิด อารมณ์เสีย เก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้กับตัวไม่ได้ กดดัน เรียกร้องทั้งกับตัวเองและคนที่อยู่รอบข้างทั้งในเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว โดยลืมรับฟังผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ลืมถามความต้องการของผู้อื่นด้วยความใส่ใจ คิดแทน ตัดสินใจแทน บนความหวังดีแต่ไม่ถูกจังหวะ และมักจะมีข้ออ้างเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอว่าเร่งรีบ เร่งด่วน หรือเพื่อให้ทันกับสิ่งที่กำลังไล่ล่ามา (ในความรู้สึกนึกคิดของเราเอง) ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับผู้คนรอบข้างนับตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ อยู่เสมอ จนเป็นความชาชิน เบื่อ เซ็งในอารมณ์ ไม่อยากพูด ไม่อยากคุย ไม่ต้องการสื่อสาร ราวกับเป็นคนบ้า<br /><br /> ชีวิตเริ่มไม่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด หลายคนทักว่าทำไมดูโทรมจัง หน้าตาไม่ผ่องใส เหมือนคนป่วย ไม่สบายอกสบายใจอะไรอยู่หรือเปล่า คำทักทายนี้ทำให้หันกลับมาใคร่ครวญตัวเองอย่างจริงจังว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราหรือ? แม้การดำเนินชีวิตนั้นมีปัจจัยภายนอกที่บีบคั้นกดดันทำให้ทุกข์ แต่ก็เป็นเพียงสาเหตุส่วนหนึ่งของความทุกข์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยตัวเราเอง แต่ยังมีอีกสาเหตุจากปัจจัยภายในตัวเราที่เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ทั้งหลาย<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">สาเหตุภายในที่สำคัญอันหนึ่งก็คือ ความโลภ คือความต้องการทำสิ่งต่างๆ ที่มากเกินพอดี</span> มีหน้างานที่เรียกร้องให้เข้าไปช่วยเหลือดูแลมากขึ้นทุกวัน ทั้งงานที่เต็มใจจะช่วย หรือที่ขัดไม่ได้เพราะความเกรงใจหรือเหตุอื่นๆ การได้ทำงานเหล่านี้ก็ทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง เหมือนเป็นนางฟ้าเป็นแม่พระ ลืมมองถึงความเป็นจริงในชีวิตว่าหากเราทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเกินไปชีวิตก็จะขาดสมดุล จากเดิมเป็นนางฟ้าหรือแม่พระก็กลับกลายเป็นนางมารร้ายแทน และการเป็นนางฟ้ากับนางมารนั้นอยู่ใกล้กันนิดเดียว เป็นสภาวะคู่ที่มีอยู่แล้วในตัวเรา<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ความคาดหวังสูงและยึดมั่นในผลสำเร็จจนเกินไปก็พบว่าเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้การดำเนินชีวิตขาดสมดุล</span> ด้วยแรงเหวี่ยงของความคาดหวังและความยึดมั่นว่าสิ่งที่ทำจะต้องออกมาดูดี ต้องเนี้ยบ ต้องสมบูรณ์ไม่ผิดพลาด ทำให้กดดันทั้งตัวเองและคนรอบข้าง ให้ทำอย่างสุดกำลังความสามารถ ทุ่มเททั้งเวลา แรงกาย แรงใจไปเต็มเหนี่ยวจนเกินกำลังที่มี พอผิดพลาดพลั้งเผลอก็ไม่เท่าทัน อารมณ์เสียหงุดหงิดโวยวาย สีหน้าท่าทางบ่งบอกถึงความไม่พอใจ เมื่อพิจารณาลงไปลึกๆ แล้วกลับพบว่าเราต้องการหลบหนีความกลัว กลัวจะไม่เป็นที่ยอมรับ กลัวไม่ได้รับความชื่นชม และกลัวว่าชีวิตจะไม่มีคุณค่าเพียงพอ<br /><br /> คงต้องหันกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่าเราจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรให้มีความสุข มีความสมดุลบนความต้องการที่แท้จริง หากการดำเนินชีวิตที่ผ่านไปในแต่ละวันแต่ละปีเปรียบได้กับการเขียนบันทึก บันทึกชีวิตของแต่ละคนก็คงเป็นสมุดเล่มใหญ่ที่มีเนื้อหายาว แต่เราส่วนใหญ่ลืมกลับไปอ่านบันทึกนี้เพื่อทบทวนตัวเอง ทบทวนสิ่งที่ได้กระทำลงไป<br /><br /> หากเราดำเนินชีวิตช้าลงสักนิดใคร่ครวญมากขึ้นสักหน่อย เราคงตั้งสติได้ทัน และพบว่าสิ่งดีที่ควรทำให้โลกนั้นมีมากมาย เราสามารถช่วยได้เท่าที่ช่วยได้ เราสามารถเรียนรู้ได้จากความผิดพลาดพลั้งเผลอ เพียงแค่พร้อมเผชิญความจริงไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ยอมรับกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจ หากเราได้ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ดีที่สุดแล้ว<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">หากมีสติเพียงพอเราก็คงจะเต้นรำไปตามจังหวะของชีวิตที่เร็วบ้างช้าบ้างอย่างสมดุล</span> คงไม่ต้องเต้นเร็วหรือเร่งจังหวะอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็น่าจะมีเวลามากพอที่จะเต้นรำร่วมกับคนที่เรารักและรักเราอย่างสมดุลมากขึ้น ในขณะนั้นชีวิตคงจะมีความสุขและสมดุลมากกว่าที่เป็นอยู่<br /><br /> ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังจะเริ่มต้นเต้นรำไปตามจังหวะชีวิตอย่างรู้ตัว<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">คงไม่มีคำว่าสายเกินไปหากเรายังมีลมหายใจและพร้อมเริ่มต้นนับจังหวะใหม่ทุกครั้งที่รู้ตัว</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-53353848998440955042009-06-07T22:49:00.002+07:002009-07-28T15:54:19.527+07:00บทความที่ ๑๕๔: ๕ วันฉันเปลี่ยน<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghzh0TQvCCHZjpT1HYDs9wRQdi6YMcpD9uI2kqAn_74ViMIiwoM3jg1NYLTghoCr2C0fPUiIMd85APViJkhgGm7l7xLaHXFXvY3VMK6zX45RlJPIJ8WlFj2JEpvvctMY4R7KqQIA/s1600-h/5days.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 214px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghzh0TQvCCHZjpT1HYDs9wRQdi6YMcpD9uI2kqAn_74ViMIiwoM3jg1NYLTghoCr2C0fPUiIMd85APViJkhgGm7l7xLaHXFXvY3VMK6zX45RlJPIJ8WlFj2JEpvvctMY4R7KqQIA/s320/5days.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5344985078186533826" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๒<br /><br /> การทานอาหารหากไม่ได้เป็นไปเพื่อเพิ่มความอยากในอาหารก็เป็นกุศล การเขียนหนังสือหากมิได้เป็นไปเพื่อเสริมสร้างอัตตาของตนก็ควรลงมือกระทำอย่าได้รอช้า ผู้ที่ไม่ได้ฝึกตนและฝึกใจนั้น ยากที่จะเห็นเส้นสายลายแทงที่ละเอียดในเรื่องของจิตของใจ “เห็นเสือแต่ไม่เห็นลายเสือ” อาจารย์ไพบูลย์ของผมเคยว่าเอาไว้<br /><br /> ผมครุ่นคำนึงถึงสองสามประโยคข้างบนนี้กับงานที่ตนทำผ่านพ้นไป งานอบรมละครสำหรับเยาวชนที่ตั้งชื่อเอาไว้อย่างท้าทายว่า “5 วันฉันเปลี่ยน” เป็นเรื่องไม่ยากที่จะเขียนถึงงานนั้นให้ดูดีสวยหรู แต่จะมีประโยชน์อย่างใดเล่าเพราะมันไม่ “สนุก” อาจจะก่อประโยชน์บ้าง แต่ก็กระผีกกระเผาะเต็มที สู้เขียนวิพากษ์ตนเองไม่ได้น่าสนใจกว่าเป็นไหนๆ<br /><br /> งานอบรมละคร “5 วันฉันเปลี่ยน” คัดสรรผู้เข้าร่วมให้มีอายุระหว่าง 14-18 ขวบปี แต่สุดท้ายเรามีสมาชิกตั้งแต่อายุ 13 ขวบไล่เรื่อยไปจนถึง 50 กว่าขวบ ตามวาระและโอกาสของแต่ละคนที่เชื้อเชิญตัวเองเข้ามาร่วมในงาน อายุเป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญเพราะเห็นว่าช่วงนี้เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ วัยรุ่นกำลังจะสร้างทัศนะบางอย่าง บ่มเพาะความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ประกอบสร้างตัวเองจากประสบการณ์ซึ่งก็มีอย่างกระท่อนกระแท่นเต็มทนในระบบการศึกษาและสังคมที่ไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าใด เลยจากนี้ไปหากเราไม่ให้ความสนใจกับเขา เราก็จะได้ผู้ใหญ่ที่ไม่มีคุณภาพ มาเพิ่มจำนวนสมทบไปกับที่มีอยู่แล้ว นั่นคงไม่ใช่อนาคตที่เราอยากเห็น<br /><br /> หลายคนถามว่าเหตุใดผมจึงไม่ใช้แนวทางจิตตปัญญาในการอบรมเยาวชน ทำไมไม่หันเหพวกเขาเข้าสู่แนวทางของพุทธศาสนา เพราะเหตุใดจึงไปอบรมเยาวชนของเราด้วยแนวทางการละครของผู้ที่ถูกกดขี่ (Theatre of the Oppressed) ซึ่งบางคนโจมตีว่าเป็นละครของพวกหัวเอียงซ้าย!! ผมไม่ได้ปฏิเสธแนวทางของจิตตปัญญาและพุทธศาสนาแต่ผมเชื่อในลำดับขั้นของการพัฒนาทางจิตสำนึกว่าต้องดำเนินไปเป็นลำดับ สำหรับเยาวชนการเรียนรู้ให้ทำลายอัตตาเสียตั้งแต่ยังไม่รู้ฤทธิ์เดชของอัตตาก็เท่ากับเราชิงสุกก่อนห่าม อัตตาไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย อาจารย์ใหญ่ (วิศิษฐ์ วังวิญญู) เคยว่าเอาไว้ ก็ตรงกับที่ ติช นัท ฮันห์ บอกว่าเราจะเลือกชื่นชมแต่ดอกไม้ที่สวยงามแล้วทำเป็นไม่รู้จักกองขยะที่เน่าเหม็นไม่ได้ เพราะสองสิ่งก็คือสิ่งเดียวกัน ในกองขยะก็มีดอกไม้ ในอวิชชาก็มีโอกาสของการรู้แจ้ง ส่วนเอคฮาร์ท โทลลี บัณฑิตผู้อยู่กับปัจจุบันขณะก็พูดเสมอว่าก้อนกองสังขารนั้นอย่าไปทิ้งขว้างทีเดียวนา <span style="font-weight:bold;">เพราะเวลาคนเราพลิกเปลี่ยนก็อาศัยกองทุกข์นี่แหละช่วยดัน ช่วยผลักให้ผันข้าม (transmute) ไปสู่สภาวะใหม่ได้</span><br /><br /> ผมเชื่อในอาจารย์เหล่านี้จึงได้รับเอาละครนี้มาเป็นเชื้อปะทุ ปลุกอัตตาของเยาวชนเหล่านี้ให้ลุกขึ้นมาอย่างปราศจากการหลบซ่อนปกปิดในนามของศีลธรรม จริยธรรม หรือความกริ่งเกรงอื่นใด ปลุกให้เขาเหล่านั้นมาเผชิญหน้ากับมารในตัวของพวกเขา แน่นอนว่าต้องอยู่ในพื้นที่อันปลอดภัยและโอบรับได้ทุกอย่าง งานเช่นนี้ต้องการการตื่นรู้ของคณะผู้จัดทำ ต้องเป็นการตื่นรู้ในระดับที่ไม่ธรรมดา ผู้เข้าร่วมจึงต้องฝึกไปพร้อมๆ กับคณะผู้จัดซึ่งต้องตื่นรู้และตื่นตัวอยู่เสมอ เราค่อยๆ ผลักเขาออกจากพื้นที่ของความคุ้นชินมาเป็นพื้นที่ของความเป็นไปได้ของละคร บรรยากาศของค่ายมิได้เป็นไปด้วยความสงบ แต่มีความโกลาหลมีคลื่นใต้น้ำที่ผุดพรายขึ้นมาให้ได้ศึกษากันเป็นระยะ ความรู้สึกลึกๆ จะถูกกระตุ้นแต่มิใช่ด้วยต้องการให้ฟูมฟาย แต่เป็นการฟูมฟักความเข้าใจใหม่ด้วยสายตาใหม่ แหวกจอกแหนที่เป็นม่านบังตาให้เห็นพื้นน้ำเบื้องล่าง<br /><br /> ชลลดา ทองทวี อ้างอิงงานของ อมิต โฆษวามี ว่าการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์มีขั้นตอนอยู่ 4 ขั้นดังนี้<br /><br /> 1. การรับรู้ (perception) --> 2. การสร้างมโนทัศน์ (conception) --> 3. การคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) --> 4. การคิดเชิงสรรค์สร้าง (creative thinking) ค่ายละครที่ทำลงไปผมเชื่อว่ามีปฏิบัติการทั้ง 4 อย่างนี้ ในสังคมไทยเรามิได้ขาดขั้นที่ 1, 2 มากนัก แต่ผมเห็นว่าเราอ่อนขั้นตอนที่ 3, 4 เพื่อนผู้รู้ของผมคนหนึ่งที่อาศรมศิลป์ก็เคยกล่าวเอาไว้ว่าในกระบวนการจิตตปัญญาของเรายังขาดการคิดเชิงวิพากษ์เช่นเดียวกัน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเยาวชนของเราหรือแม้กระทั่งตัวเราเองขาดการคิดเชิงวิพากษ์ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราจะมีแนวโน้มการรับเอา เชื่อตามอย่างเซื่องๆ ซึ่งผู้มีอำนาจแต่เขลาปัญญาอยากให้ประชาชนของตนเป็นอย่างนั้น ลองนึกดูเล่นๆ ว่าในอีก 50 ปีข้างหน้าเมื่อผู้อ่านข้อเขียนนี้ก็คงเสียชีวิตไปแล้วกว่าครึ่ง เราทิ้งมรดกแห่งความเซื่องเซื่อเอาไว้ให้กับลูกหลานของเรา สังคมของเราจะอุดมไปด้วยคนเบาปัญญาแต่เมาอำนาจ การปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ต่างหากที่เป็นการทำร้ายประเทศไทย มิใช่การลุกขึ้นมาตะโกนขอให้สมานฉันท์ หากผู้ลุกขึ้นประกาศมายังแยกแยะไม่ออกระหว่าง “ความสมานฉันท์” กับ “ความเซื่องเซื่อ”<br /><br /> ผมไม่ใคร่จะพบการบ่มเพาะความคิดเชิงวิพากษ์ในกระบวนการจิตตปัญญา หรือในการเรียนเรื่องพุทธศาสนา ผมจึงมองหาแนวทางอื่นเข้ามาหลอมรวม โดยจะเรียกว่าเป็นขั้นตอน “เหยียบผ่าน” หรืออย่างไรก็ตามที แต่เช่นเดียวกับจิตสำนึกเรื่องการเมือง หากจิตสำนึกในการศึกษาพุทธศาสนาเป็นไปแบบเซื่องๆ ผมก็ไม่เชื่อว่าใครจะบรรลุธรรม หากใครไม่กล้าคิดวิพากษ์ความเชื่อทางศาสนาของตนเองเสียก่อนอย่างถึงพริกถึงขิง โอกาสที่จะแปรเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นมาเป็นความเข้าใจได้ในภายหลังก็แทบไม่มี การคิดเชิงวิพากษ์จึงไม่ใช่การวิจารณ์ผู้อื่นอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจผิด ที่ถูกคือผู้นั้นต้องรู้จักวิพากษ์ตัวเองเสียก่อนอย่างลึกซึ้งและหลากหลายแง่มุม และควรจะต้องทำให้มากกว่าการวิพากษ์ผู้อื่นหรือเรื่องอื่น เมื่อนั้นก็อาจจะมีหนทางตกผลึกเกิดเป็นความคิดเชิงสรรค์สร้างได้ในที่สุด<br /><br /> แต่ถ้าหากไปสุดโต่งคือคิดวิพากษ์หรือคิดแบบแยกแยะมากจนเกินไป โอกาสที่จะเห็นธรรมก็เป็นเรื่องยาก อย่างชาวตะวันตกผู้หันมาสนใจพุทธศาสนาต้องประสบ พวกเขาไม่ใคร่จะเข้าใจการสอนในแบบพุทธศาสนาเพราะเห็นว่าเข้าใจยาก แท้จริงแล้วกระบวนการทำความเข้าใจของเขาต่างหากที่เป็นปัญหา เยาวชนไทยของเรานั้นเล่าก็ไปสุดโต่งอีกด้านหนึ่ง เพราะกระบวนการทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ของเราเป็นไปแบบเซื่องๆ ก็คือว่าตามกันไป ถามว่าทำไมต้องทำ คำตอบก็คือไม่รู้เหมือนกัน <span style="font-weight:bold;">เราอยากจะให้เยาวชนคิดเป็นแต่ห้ามเถียง ห้ามสร้างความวุ่นวาย แล้วอย่างนี้เด็กจะเรียนรู้เรื่องการขบถต่อขนบจากไหน?</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-82170867735757220742009-05-31T07:00:00.002+07:002009-07-28T15:57:16.261+07:00บทความที่ ๑๕๓: วิธีเลิกกับแฟนอย่างสงบ และยังเป็นเพื่อนกันต่อ<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3ld5f6yKzz7K7wI5N7mQMCNUCE1I6zA0OeORG4aNWbqwSh3pFj0Obc4dovfH4Wqg8shoRQ6eQU3f8HY7b3SbEjyAtMRZRbGZ9EvSWGaPBMZYw_CAjKegkcB_ogmobV6vDldb8kg/s1600-h/16220428.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 213px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3ld5f6yKzz7K7wI5N7mQMCNUCE1I6zA0OeORG4aNWbqwSh3pFj0Obc4dovfH4Wqg8shoRQ6eQU3f8HY7b3SbEjyAtMRZRbGZ9EvSWGaPBMZYw_CAjKegkcB_ogmobV6vDldb8kg/s320/16220428.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5340849010322129618" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight: bold;">ชลนภา อนุกูล</span><br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒<br /> <br /><br /> เห็นคนพูดถึงการเตรียมตัวตายอย่างสงบมามากแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นคนเขียนเรื่องการเลิกกับแฟนอย่างสงบเลย ทั้งที่เป็นความทุกข์ร่วมของคนร่วมสมัยและต้องมีการเตรียมตัวอยู่บ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะหากต้องการให้ความหมายของการเลิกกับแฟนเป็นไปอย่างสงบ และยังเป็นเพื่อนกันต่อ<br /><br /> ก่อนอื่นเราควรทำความเข้าใจร่วมกันก่อนถึงความหมายของ<span style="font-weight:bold;">การเลิกกับแฟนอย่างสงบ คือการเลิกด้วยดี ไม่มีความโกรธหรืออาฆาต พร้อมให้อภัย และมีความเมตตากรุณาต่อกัน เป็นการอโหสิต่อกรรมเดิม และเป็นไปเพื่อการเตรียมตัวสำหรับการเดินทางอย่างใหม่ของชีวิต</span><br /><br /> การจะเลิกกับแฟนอย่างสงบได้นั้นขึ้นกับลักษณะของการเลิกเป็นสำคัญ เพราะหากการเลิกเป็นไปอย่างโกรธแค้น มีอารมณ์ อกุศลกรรมข้อนี้ย่อมติดตัวไปทั้งสองฝ่ายแม้จะจากกันไปแล้ว และย่อมไม่อาจนำไปสู่การเป็นเพื่อนกันได้ ฉะนั้น การเป็นเพื่อนกันต่อหลังการเลิกจะเกิดขึ้นได้จึงขึ้นกับคุณภาพของการเลิก<br /><br /> <span style="font-weight:bold;"> แนวปฏิบัติสำหรับผู้บอกเลิก</span><br /><br /> ๑. พิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งถึงเหตุและผลในการเลิก อย่าบอกเลิกหลังการทะเลาะกัน นอกจากความสัมพันธ์ที่มีอยู่ง่อนแง่นขึ้นแล้ว การบอกเลิกในภาวะที่มีอารมณ์ เป็นการดำเนินไปด้วยอารมณ์ ไม่ใช่เหตุผล และการบอกเลิกด้วยอารมณ์ ย่อมไม่นำไปสู่การบอกเลิกอย่างสงบ ไม่นำไปสู่มิตรภาพ และสำหรับผู้มีประวัติบอกเลิกทุกครั้งหลังทะเลาะกัน ต้องใคร่ครวญให้มากว่าจะบอกอย่างไรให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ คุณอาจรู้สึกผิดที่เป็นผู้บอกเลิกคนที่เคยรักและสัญญาว่าจะรักษาความผูกพันนั้นไว้ แต่หากความสัมพันธ์นั้นดำเนินไปด้วยดีไม่ได้ ก็เป็นความผิดพลาดของคนสองคนร่วมกัน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง และคุณทำดีที่สุดแล้ว<br /><br /> ๒. ตัดสินใจบนพื้นฐานของการพิจารณาใคร่ครวญนั้น และมีความหนักแน่น หากพิจารณาแล้ว ตัดสินใจแล้วด้วยใจอันสงบ มั่นคง ก็จงแน่วแน่อยู่กับการตัดสินใจนั้น<br /><br /> ๓. เลือกวันเวลาและสถานที่สื่อสารที่เหมาะสม คุณกำลังจะแจ้งข่าวร้ายให้กับอีกฝ่าย และยังหวังเป็นเพื่อนกันต่อ เพราะฉะนั้น ควรพูดจากันต่อหน้า ไม่ใช่ทางโทรศัพท์หรือเอสเอ็มเอส คุณภาพของการสื่อสารมีความสำคัญมาก จำเป็นต้องคำนึงถึงอีกฝ่ายในฐานะผู้รับสาร ช่องทางในการสื่อสาร และสิ่งแวดล้อมในการสื่อสารให้มาก คุณต้องมั่นใจว่ามีเวลาเพียงพอในการพูดจาสื่อสารกันในวันนั้น ไม่รีบ ไม่มีธุระที่ต้องไปทำที่ไหนต่อ<br /><br /> ๔. สื่อสารด้วยถ้อยคำปรกติ ชี้แจงเหตุผล เตรียมใจยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น จำไว้ว่า คุณเตรียมตัวเป็นฝ่ายบอกเลิก อีกฝ่ายไม่ได้เตรียมตัว ปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องนี้ย่อมแตกต่างกัน คุณต้องเป็นฝ่ายสงบ ไม่มีอารมณ์ อีกฝ่ายอาจจะมีอารมณ์ ทั้งโกรธ ตกใจ เสียใจ ตีโพยตีพาย ถามถึงเหตุผล และกล่าวโทษคุณ ขอร้องคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้รับฟังด้วยใจอันสงบ ไม่โกรธ ไม่ใจอ่อนโลเล ให้เวลาอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ เป็นผู้ฟังอย่างลึกซึ้ง เป็นผู้ทำความเข้าใจ มีความเห็นอกเห็นใจ ให้อีกฝ่ายเลือกเองว่าจะหยุดเมื่อไหร่<br /><br /> ๕. อย่าถามหรือขอร้องให้ฝ่ายถูกเลิกเป็นเพื่อนกับคุณในทันทีที่เลิก อีกฝ่ายไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้คิดอะไร การถามว่าเป็นเพื่อนกันต่อได้ไหม ไม่ต่างอะไรกับการถามว่า ต้นไม้ตายแล้ว จะเก็บไว้ไหม? กระบวนการเลิกและกระบวนการหลังจากนั้นต่างหากจะเป็นปัจจัยกำหนดว่าจะเป็นเพื่อนกันได้อีกหรือไม่<br /><br /> ๖. หลังจากสิ้นสุดการพูดคุยครั้งนั้นแล้ว อาจต้องพูดคุยกันอีกสองสามครั้ง เว้นจังหวะเวลาให้เหมาะสม แต่คุณต้องพร้อมรับฟัง และเข้าใจว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเยียวยา อีกฝ่ายอาจถามคำถามเดิมๆ ย้ำไปย้ำมา หรือกล่าวโทษ คุณต้องพร้อมจะเข้าใจอารมณ์ของอีกฝ่ายและกระบวนการเยียวยานี้ ให้เวลาอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ รับฟัง ไม่แสดงท่าทีเบื่อหน่าย ยอมรับความไม่น่ารักของเขาอันเกิดจากอารมณ์โกรธ เศร้า เสียใจ ปนกัน อีกฝ่ายไม่ได้มีคุณสมบัติด้านลบแต่เพียงอย่างเดียว อย่าคาดหวังให้เขาใจเย็น หรือมีเหตุผล คุณเคยรักและผูกพันกันมา ย่อมเข้าใจตัวตนเขา นิสัยของเขาเป็นอย่างไรคุณรู้ดี พฤติกรรมด้านลบขณะนี้เป็นผลจากอารมณ์ด้านลบภายใน ไม่ใช่เป็นนิสัยเดิมแท้ของเขา อย่าลืมว่า คุณยังอยากจะเป็นเพื่อนกันต่อ<br /><br /> ๗. หลังจากช่วงเวลานี้ อีกฝ่ายอาจจะเลิกติดต่อคุณสักพัก คุณอาจจะเป็นฝ่ายขอติดต่อกลับไปในเวลาที่เหมาะสม ระยะเวลานี้ขึ้นกับความเข้มข้นในความสัมพันธ์ที่เคยมี<br /><br /> ๘. ระหว่างนี้คุณอาจใช้ชีวิตเป็นปรกติ แต่การก้าวเข้าสู่ความสัมพันธ์ใหม่หลังจากนั้นภายในเวลาสองสามเดือนอาจจะเป็นไปไม่ได้ แม้คุณมีสิทธิ์ แต่ก็ไม่ควร คุณควรจะใช้เวลานี้พิจารณาใคร่ครวญถึงความบกพร่องในความสัมพันธ์ที่ผ่านมา ระยะเวลานี้อาจนานกว่านั้น แต่หากคุณเริ่มความสัมพันธ์ใหม่หลังจากเลิกกัน เขาจะคิดว่านั่นแหละคือเหตุผลที่แท้จริงในการเลิก และไม่อาจนำไปสู่มิตรภาพ<br /><br /> ๙. ไม่คาดหวังในอีกฝ่ายว่าควรเป็นหรือทำอะไรที่ดีกว่านี้ ต้องยอมรับว่าทั้งคุณและอีกฝ่ายก็โง่ได้ พลาดพลั้งได้ ไม่สมบูรณ์ได้ ควรเข้มงวดกับตนเองและผ่อนปรนกับผู้อื่น การเรียกร้องคุณธรรมจากตนเองเป็นเรื่องสำคัญกว่า<br /><br /> <span style="font-weight:bold;"> แนวปฏิบัติสำหรับผู้ถูกเลิก</span><br /><br /> ๑. ระลึกอยู่เสมอว่าคุณได้พูดและทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดพลาดของคุณฝ่ายเดียว หากแต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งสองฝ่าย อย่ากล่าวโทษตัวเอง เหตุผลของการเลิกนั้นไม่ว่าจะมีข้อเดียวหรือกี่ข้อก็เพียงพอกับการทำให้เขาตัดสินใจเลิกกับคุณ ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เป็น ไม่มีความผิดความถูกในเรื่องนี้<br /><br /> ๒. อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อยู่ในวงเพื่อนหรือครอบครัว ในที่ที่คุณมั่นใจว่าคุณเป็นที่รัก และมีคุณค่ากับคนที่แวดล้อมคุณ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่เคยไปกับเขา เก็บข้าวของที่เป็นเครื่องระลึกถึงไว้ในที่ลับตา<br /><br /> ๓. ความเสียใจ การร้องไห้ การตีโพยตีพาย ฟูมฟาย เป็นเรื่องปรกติ คุณยังเป็นปุถุชน ยังไม่บรรลุธรรม อยู่บนหนทางปฏิบัติ ไม่ต้องสงวนหรือแสดงท่าทีให้เป็นปรกติ ตราบเท่าที่ภายในของคุณยังไม่ปรกติ ถ้าคุณเป็นอริยบุคคลคุณก็คงไม่ต้องเสียใจ ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายใน แม้จะเป็นอารมณ์ด้านลบ โอบกอดมันไว้ ยอมรับว่าเราก็มีอารมณ์ด้านลบได้แม้เป็นคนดีหรือเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่มีศรัทธาแก่กล้า ดูแลไม่ให้ไฟแห่งความโกรธ เศร้า เสียใจ ทำร้ายคุณหรือผู้อื่น<br /><br /> ๔. หาเพื่อนที่สามารถฟังอย่างลึกซึ้ง และเตือนสติคุณได้ ให้ปรึกษา ระบายอารมณ์ทุกอย่างที่มี คุณต้องยอมรับว่าคุณกำลังป่วยภายใน ถ้าคุณไม่ป่วยคุณก็คงไม่ต้องเยียวยา ไม่ต้องพูดคุยปรับทุกข์กับใคร เพื่อนที่มีสติปัญญาดีจะเตือนสติคุณได้ว่าการพูด คิด ทำอะไรในช่วงระหว่างที่มีอารมณ์เป็นเรื่องไร้เหตุผล การตัดสินใจที่ดีจะเกิดขึ้นได้เมื่อผ่านกระบวนการคิดใคร่ครวญพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่ในภาวะที่มีอารมณ์ครอบงำ ที่สำคัญ อย่าเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครในช่วงระยะเวลานี้ แม้จะเป็นคนที่รู้สึกดีกับคุณมานานก็ตาม คุณต้องรอให้ใจสงบ สมองแจ่มใส ถามตนเองว่าต้องการอะไร และดำเนินชีวิตไปตามนั้น<br /><br /> ๕. ระงับการติดต่อกับเขาไปสักพัก ไม่โทรศัพท์ ไม่เขียนจดหมาย ไม่เขียนอีเมล คุณต้องการเวลาเยียวยาตนเอง คุณไม่ต้องดูแลใคร คนที่คุณต้องดูแลคือตัวคุณเอง ทำให้ใจนิ่งสงบ ดูแลอารมณ์ด้านลบ ยอมรับ ระมัดระวังไม่ให้ออกมาเป็นการกระทำ หยุดคิดฟุ้งซ่าน ทุกอย่างเป็นอย่างที่เป็น ไม่ต้องตีความ พึงตระหนักว่าความโกรธจะทำให้มองเห็นแต่ด้านลบของอีกฝ่าย ความเศร้าจะทำให้เห็นแต่ด้านลบของตนเอง อารมณ์หลายอย่างจะเกิดขึ้นปะปนกัน ไม่ต้องสนใจ อดทนไว้ ความทุกข์ภายในจะผ่านพ้นไปด้วยตนเอง<br /><br /> ๖. ในยามที่ใจสงบ พิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ ทบทวนตนเองอย่างตรงไปตรงมา อาจเขียนขึ้นมาดู และหากยังนึกถึงคนเดิม นำสิ่งที่เขียนมาเป็นเครื่องเตือนสติ การพิจารณาใคร่ครวญนี้จะเป็นแนวทางให้เราเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ได้โดยไม่ผิดพลาดแบบเดิม<br /><br /> ๗. แม้ว่าอีกฝ่ายจะขอให้เป็นเพื่อนกันต่อ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาหรือคุณจะทำได้อย่างที่พูด สำหรับบางคนแล้ว คำพูดนี้อาจมาจากแรงผลักดันอะไรบางอย่างภายใน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกกลัวสูญเสียหรือความรู้สึกผิด มิตรภาพจะเกิดขึ้นเองหากมีความปรารถนาดีต่อกัน ตราบใดที่ยังรู้สึกแย่ต่อกัน เห็นแต่ความผิดของอีกฝ่าย ปราศจากความไว้วางใจ ไม่เคารพและเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน มิตรภาพย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ทั้งในคุณและอีกฝ่าย<br /><br /> ๘. สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดีเสมอ เราย่อมเรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้ การเรียนรู้จากความผิดพลาดช่วยนำไปสู่การเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ที่มีคุณภาพ มีสติปัญญากำกับมากกว่าเดิม<br /><br /> ๙. ไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายควรเป็นหรือทำอะไรที่ดีกว่านี้ ต้องยอมรับว่าทั้งคุณและอีกฝ่ายก็โง่ได้ พลาดพลั้งได้ ไม่สมบูรณ์ได้ ควรเข้มงวดกับตนและผ่อนปรนกับผู้อื่น การเรียกร้องคุณธรรมจากตนเองเป็นเรื่องสำคัญกว่า<br /><br /> แนวปฏิบัตินี้ไม่ใช่หลักเกณฑ์ตายตัว ผู้เขียนปราศจากความรู้ แต่เขียนขึ้นจากความรู้หลายแห่งในโลกอินเทอร์เน็ต ยำและสังเคราะห์เข้ากับวัฒนธรรมแบบไทย <span style="font-weight:bold;">ควรช่วยกันปรับปรุง และเขียนเผยแพร่ให้มากขึ้น เพราะเป็นทุกข์แบบปุถุชน</span> ซึ่งมีวิถีชีวิตต่างจากนักบวช ทั้งยังเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในตำรา คนหนุ่มสาวร่วมสมัยล้วนต้องผ่านประสบการณ์ดังกล่าวอย่างคลำทาง เพราะโครงสร้างสังคมเปลี่ยน วัฒนธรรมเปลี่ยน พื้นฐานครอบครัวเปลี่ยน องค์ความรู้และสติปัญญาจากคนรุ่นก่อนถูกส่งต่อมายังคนรุ่นหลังแบบอาศัยโชค บางคนโชคดีก็ได้รับสติปัญญานั้นต่อ บางคนโชคไม่ดีก็ทุรนทุรายต่อไปUnknownnoreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-2957047008312007592009-05-24T07:00:00.003+07:002009-07-28T15:58:40.110+07:00บทความที่ ๑๕๒: บนทางตันแห่งความไม่รู้<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglXgtgUP0MCOmcoAaGCzoH5ZHptlHRMX9ButJG022fSJQRXWwiOGewkFj5GUXUGtZM89rYaJKd8URxeLuhiM12DRaTQzZo8gTVG0iPGwK9b_TW-Rzb3pqgLn_GldAT_v22olAXPw/s1600-h/0C767171-50C6-4595-AFE021W-731-1Spring2004chp_pen_pad.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 214px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglXgtgUP0MCOmcoAaGCzoH5ZHptlHRMX9ButJG022fSJQRXWwiOGewkFj5GUXUGtZM89rYaJKd8URxeLuhiM12DRaTQzZo8gTVG0iPGwK9b_TW-Rzb3pqgLn_GldAT_v22olAXPw/s320/0C767171-50C6-4595-AFE021W-731-1Spring2004chp_pen_pad.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5337557322689064418" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">เจนจิรา โลชา</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๒<br /> <br /> ถึงเวลาที่จะต้องเขียนบทความชิ้นนี้เสียที หลังจากที่ผัดผ่อนจนล่วงเลยกำหนดส่งบทความมาเกือบสิบวันแล้ว<br /><br /> เมื่อถึงกำหนดส่งจึงได้ส่งเมลไปยังผู้รับผิดชอบคอลัมน์ เพื่อขอเลื่อนส่งบทความ ใจอยากจะอ้างว่างานยุ่ง ไม่มีเวลา (ซึ่งเป็นคำอ้างที่หยิบยกขึ้นมาใช้จนคุ้นชิน) แต่เมื่อสำรวจแล้วพบว่า เราไม่ได้ยุ่งจนไม่มีเวลาเขียนบทความอย่างที่อ้างสักหน่อย ความคิดก็วิ่งแล่นเพื่อค้นหาข้ออ้างอื่นที่พอจะฟังขึ้น แต่ก็ไม่พบ เลยต้องสารภาพไปตามตรงว่าไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี แล้วก็มีเมลตอบรับว่าให้เลื่อนวันส่งได้ และตามด้วยคำอวยพรที่ขอให้มีความสุขกับการเขียนบทความ<br /><br /> นี่อาจเป็นสิ่งที่ได้รับกลับคืนมาจากการที่เราเลือกที่จะพูดความจริง ความจริงที่ว่าไม่รู้จะเขียนอะไรดี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรอยู่ดี คงต้องยอมรับกับตัวเองและผู้อ่านเสียทีว่าเรากำลังถึงทางตัน และคำอวยพรก็ล่องลอยมาอีกครั้ง <span style="font-weight:bold;">“ขอให้มีความสุขกับการเขียน”</span> แล้วจะมีความสุขได้อย่างไรถ้าต้องบีบคั้นตัวเองเช่นนี้ ผู้อ่านเองคงรับรู้ได้ถึงความทุกข์ ความอึดอัดใจที่ผู้เขียนได้ส่งผ่านไปยังภาษาที่เขียนในบทความนี้ด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีแน่ๆ เลย<br /><br /> คำถามหนึ่งจึงผุดขึ้นมาในใจ “อะไรที่ทำให้เราไม่มีความสุขในการเขียนบทความ”<br /><br /> หากไม่โกหกตัวเอง คำตอบที่พบก็คือ เพราะเราคาดหวังกับตัวเองว่าจะต้องเขียนบทความที่ดี น่าสนใจ ได้ประโยชน์แง่คิดบางอย่าง คนอ่านแล้วประทับใจ ซึ่งจะทำให้ชื่นชมตัวผู้เขียนไปด้วย ความคาดหวังนี้เองที่เป็นตัวกดทับ บีบคั้น กดดันให้ต้องเขียนบทความให้ดีที่สุด พิเศษที่สุด แค่ธรรมดาๆ ไม่ได้ เมื่อค้นพบคำตอบนี้ ก็รู้สึกตลกกับความคิดของตัวเอง เรากำลังหลงวนอยู่กับการสร้างภาพตัวตนขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า วางกับดักกักขังตัวเองเอาไว้ เบื้องหลังของความคิดนี้จึงนำไปสู่ทางตันที่กำลังต้องเผชิญอยู่นี้<br /><br /> ต่อเมื่อเราเห็นและยอมรับสิ่งที่เรามีและเป็น จึงพอจะทำให้เห็นทางออกอันรำไรที่จะทำให้มีความสุขกับการเขียนงานสักชิ้นขึ้นมาบ้าง เริ่มจากการลดความคาดหวังกับตัวเอง วางใจกับงานเขียน ดีหรือไม่อาจจะไม่ใช่บทสรุป สิ่งที่ควรตักตวงคือความสุขเล็กๆ จากการได้ทำสิ่งที่เรารักและเขียนสิ่งที่อยากเขียนต่างหาก งานเขียนไม่จำเป็นต้องพิเศษ หากแต่เป็นงานเขียนที่แสนธรรมดาและเต็มไปด้วยความจริงใจของผู้เขียน สิ่งนี้น่าจะเป็นหน้าต่างที่ทำให้ผู้อ่านเปิดรับ สัมผัสรับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนอย่างแท้จริง มากกว่าการที่เราจะตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่าผู้อ่านจะต้องประทับใจและได้รับประโยชน์จากงานเขียนของเรา<br /><br /> แม้จะวางใจและลดความคาดหวังต่างๆ ลงแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้จะเขียนเพื่อนำเสนอเรื่องอะไรอยู่ดี รู้สึกว่าเราถึงทางตัน มึนมืดแปดด้าน หัวสมองว่างๆ โหวงๆ ไม่มีเนื้อหา ไม่มีประสบการณ์โดนๆ ที่พอจะนำมาแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นบทความเลย ไม่มีเรื่องราวใดๆ ที่ผ่านเข้ามาและพบเจอในชีวิตที่จะนำเสนอผู้อ่าน ไม่มี ไม่มีจริงๆ .......<br /><br /> เพราะความไม่รู้นี่เอง ที่ทำให้ตัวเองได้ลองเปิดโลกแห่งการสื่อสารอันไร้พรมแดน เข้าไปอ่านบทความที่คนอื่นได้เขียนไว้ อ่านความคิด ความรู้สึก จากบทความที่มากมายไปด้วยเรื่องราว มีวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ ซึ่งนั่นไม่ได้เป็นเพราะต้องการจะลอกเลียนแบบ แต่การออกมาสัมผัสโลกกว้าง ไม่ติดอยู่กับกรอบความคิดและวิธีการอันคุ้นชินของเรา จะทำให้เรามองเห็นความเป็นไปได้มากมายที่มีอยู่ในโลกอันไพศาลนี้ ความคิดที่มีอยู่ได้ประสานกับอีกความคิด ไม่ใช่ความคิดจะมาแทนที่กัน แต่กลายเป็นความคิดที่หลอมรวม เปิดกว้างมากขึ้น อย่างน้อยก็กว้างกว่าความคิดเดิมๆ ที่เรามีอยู่<br /><br /> แม้จะได้เปิดโลกทางความคิด แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป ...<br /><br /> จึงได้ลองพาตัวเองนั่งรถประจำทางไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นั่งรถไฟฟ้า ออกไปดู ไปสัมผัสชีวิตผู้คนในสังคม ไปพบเจออากาศร้อนๆ ที่ชวนให้หงุดหงิดใจ ไปสูดควันพิษรวมกับคนอื่นๆ ในท้องถนน แวะสวนสาธารณะที่เขียวขจีไปด้วยต้นไม้ สดชื่นเมื่ออยู่ใกล้สายน้ำ ผู้คนอ้อยอิ่งเดินเล่น ออกกำลังกาย ผ่อนคลายแจ่มใส ชีวิตที่หลากหลายบนโลกใบนี้เป็นสีสันที่สดใหม่และสวยงามเสมอ โลกกว้างใหญ่ ทุกชีวิตต้องดำเนินต่อไป การออกไปพบเจอกับชีวิตของคนอื่น ไม่ใช่เพราะต้องการไปมองหาเรื่องมาเขียนบทความ หากเป็นการไปด้วยใจที่อยากรู้ ด้วยตาที่อยากเห็น ด้วยกายที่อยากร่วมสัมผัสเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตอื่น จะทำให้ใจของเราเปิดกว้าง สัมพันธ์กับโลกและผู้คนอย่างแท้จริง รับรู้เรื่องราว ความเป็นไปของชีวิตอื่นที่ไม่ได้มองเพียงที่ตัวเองเท่านั้น <br /><br /> ประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้เชื่อมโยงโลกภายนอกกับโลกภายในจิตใจ การออกไปเห็น ไปพบเจอความเป็นไปของโลกกว้างแล้วกลับมาสัมผัสรับรู้ความรู้สึก อารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่ต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา ทำให้โลกไม่ได้มีแค่ความคิดแต่กลับเต็มไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต<br /><br /> ทางตันที่เผชิญอยู่ไม่ได้ทึบตันตลอดไป มีทางทอดยาวต่อให้เดินต่อไปได้ กำแพงแห่งความไม่รู้ที่บีบคั้นให้อึดอัดใจทลายลง ด้วยการยอมรับว่าตนไม่รู้ และเดินทางออกไปสัมผัส สัมพันธ์ เรียนรู้กับชีวิตและโลก ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้อย่างไม่มีวันจบสิ้น ถ้าเราไม่มัวหลงติดกับดักทางความคิดของตัวเองว่า เรารู้ เรามีความสามารถ ดี และเก่งกว่าใครๆ เราก็คงจะมีทางออกให้กับตัวเองเสมอเมื่อต้องพบเจอทางตัน บางทีอาจเป็นตัวเราเองที่ก่อกำแพงสร้างทางตันล้อมตัวเองไว้ก็เป็นได้ <br /><br /> บทความนี้จบลง ขณะออกไปนั่งดูสายฝนโปรยปรายที่ระเบียงบ้าน ระหว่างที่เสียงกระดิ่งลมดังกังวาน ต้นไม้เอนไหวขับขาน ไม่หลงเหลือความกดดันและความไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรจากเมื่อสิบวันก่อนหน้านี้เลย<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ความคาดหวังสอนให้เรารู้จักการปล่อยวาง ทางตันทำให้มองหาความเป็นไปได้ของทางออกมากมายที่มีอยู่ ความไม่รู้ทำให้ได้กลับมาเรียนรู้อีกครั้ง</span><br /><br /> แม้ตอนเริ่มต้นเขียนบทความนี้จะเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ แต่เมื่อเขียนมาจนถึงประโยคนี้กลับมีแต่ความอิ่มเอมใจ อย่างน้อยก็ได้บอกเล่าความเป็นไปของตัวเองด้วยความจริงใจUnknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-5090365375875815772009-05-17T07:00:00.003+07:002009-07-28T16:02:16.004+07:00บทความที่ ๑๕๑: ให้อภัยกันได้หรือไม่<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj70eB33RP20VYSlRFgEpIGjjjMQGrEjgEJdL6ubmz65q-1zBvOq9M_3E-vNf5Kw11DphFcLgMCfFdBGFBgl0IikHRhBmgBPp_Y7C9KcsPGZFHxkZ9CjTJl2QS_-tM-Z7DolUSHMg/s1600-h/forgive.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 214px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj70eB33RP20VYSlRFgEpIGjjjMQGrEjgEJdL6ubmz65q-1zBvOq9M_3E-vNf5Kw11DphFcLgMCfFdBGFBgl0IikHRhBmgBPp_Y7C9KcsPGZFHxkZ9CjTJl2QS_-tM-Z7DolUSHMg/s320/forgive.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5334551063859471954" /></a><br /><br />โดย <b>ปาริชาด สุวรรณบุบผา</b><br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒<br /> <br /><br /> ก่อนอ่านข้อเขียนนี้ ถ้าท่านไม่ศรัทธาว่ามนุษย์สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้ท่านจะอ่านงานนี้ด้วยความตะขิดตะขวงใจ<br /><br /> ขณะเดียวกัน ถ้าท่านได้มีข้อตัดสินไว้แล้วว่า ความเคลื่อนไหวและวิกฤตการณ์ความไม่สงบที่ผ่านมา เป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียว ท่านอาจกำลังจะตัดสินต่อไปว่า ผู้เขียนบทความนี้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เสื้อเหลือง หรือ เสื้อแดง เสื้อน้ำเงิน หรือฝ่ายรัฐบาล<br /><br /> ต่อไป ถ้าท่านไม่ชื่นชม วิธีการ “ฟัง” เพื่อเข้าใจความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ท่านอาจตั้งคำถามสงสัยวิธีการของนักสันติวิธี ว่าใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้จริงหรือไม่<br /><br /> การอารัมภบทข้างต้นเหล่านี้ มิได้มีความปรารถนาจะเล่นสำนวนภาษาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะได้ตระหนักถึงสถานการณ์และสภาวะจิตของคนทั้งหลายหลังเหตุการณ์ “สงกรานต์แห่งความเสียใจ” ไม่ว่าผู้ใดจะแสดงความคิดเห็นในทางใดก็จะถูกวิจารณ์ในทางลบจากฝ่ายที่ไม่ได้คิดอย่างเดียวกันทั้งสิ้น<br /><br /> ในความเป็นจริง เหตุการณ์ความไม่สงบที่ผ่านมาไม่มากก็น้อยเป็นความไม่สงบ ที่ “เขาว่า” ยังดำเนินอยู่ “ใต้ดิน” นั้น ได้ให้บทเรียนและย้ำเตือนความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงประเภทต่างๆ กล่าวคือ คงไม่มีผู้ใดปฏิเสธว่า ความขัดแย้งและแนวคิดทางการเมืองที่ต่างกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามระบอบประชาธิปไตย หลายกรณีของความขัดแย้งที่แปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงนั้น มีสาเหตุจากความรู้สึก “ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือความอยุติธรรม” กรณีความขัดแย้งของพี่น้องชาวเสื้อแดงก็เช่นกัน ส่วนหนึ่งเกิดจากความรู้สึกไม่พอใจ “การปฏิบัติสองมาตรฐาน” ตามเหตุผลและสถานการณ์ที่เราท่านได้ยินตลอดระยะเวลานี้ ประเด็นของการเรียนรู้คือ ความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม อาจก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจกัน อคติ ความเห็นแก่ตัว และความรุนแรง ตลอดจนถึงการแก้แค้นติดตามมาได้ นั่นคือความรุนแรงชนิดหนึ่งที่หลายคนมักมองข้าม ได้แก่ ความรุนแรงที่ต้องการปลดปล่อยความทุกข์จากการถูกเอาเปรียบ (Liberative Violence)<br /><br /> ความรุนแรงชนิดนี้ เรามักพบเห็นได้ในองค์กร ในที่ทำงาน ในครอบครัว ถ้ามีคนใดคนหนึ่งในที่ที่นั้น “มีความรู้สึก” ว่าตัวเองถูกเลือกปฎิบัติ ถูกเอาเปรียบ ถูกกดขี่ ถูกทำร้ายบางครั้งทางกาย ในหลายๆ ครั้ง ทั้งทางกายและทางใจ ติดต่อสืบเนื่องจนทนไม่ได้อีกต่อไป ความรุนแรงซึ่งตนเองอาจไม่ได้เป็นต้นเหตุโดยตรง แต่เป็น “เหยื่อ” ของสถานการณ์นั้นๆ เหยื่อนั้นเองก็สามารถตอบโต้ทำความรุนแรงขึ้นได้ เนื่องจากความไม่ไว้วางใจ อคติ และความโกรธ ได้ก่อตัวขึ้นเป็นลำดับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่นกรณีเด็กในสถานพินิจผู้อ่อนแอกว่าจะไม่ทนอีกต่อไป เมื่อถูกรุมทำร้ายจากเด็ก “ขาใหญ่” ลุกฮือขึ้นมารวมพวกกันต่อสู้กับกลุ่มที่มีอำนาจมากกว่า<br /><br /> ในกรณีความขัดแย้งเสื้อแดง และเสื้อเหลืองก็เช่นกัน ทำอย่างไรที่จะไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ควรเป็นคำถามที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันคิด<br /><br /> แต่เมื่อความรุนแรงได้ปรากฏขึ้นแล้ว ต่างฝ่ายก็จะมีเหตุผลสนับสนุนว่าฝ่ายตรงกันข้ามได้ใช้ความรุนแรง ทั้งฝ่ายเสื้อแดง และฝ่ายรัฐบาลโดยผ่านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหาร บทความนี้ไม่ได้มีหน้าที่จะชี้ หรือตัดสินความถูกผิดของฝ่ายใด แต่อยากนำเสนอ อารมณ์ความรู้สึกโดยเฉพาะที่สืบเนื่องมาจากความรู้สึก “ไม่ได้รับความยุติธรรม” ที่อาจได้รับการมองอย่าง “ผู้ผิด” ในสายตาของคนทั่วไป<br /><br /> อย่างไรก็ตามอยากให้สังคมได้ตระหนักถึงความจริงประการหนึ่งของสันติวัฒนธรรม (Culture of Peace) ที่ว่าในการชุมนุมเรียกร้องแต่ละครั้ง ถึงแม้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้กระทำผิด ทุกฝ่ายรับไม่ได้กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง ทุกฝ่ายสามารถตำหนิ ความชั่วร้าย ความรุนแรง ที่เกิดขึ้น แต่อย่าลืมว่าเราต้องคำนึงถึง “ความเป็นมนุษย์” ของเขาเหล่านั้น ที่ไม่มีผู้ใดสมบูรณ์แบบในตัว แต่ท่ามกลางความไม่สมบูรณ์แบบนั้นก็ยังคงมีความดี มีความปราถนาดี ความตั้งใจดีปะปนอยู่ในความคิดของกลุ่มคนเหล่านั้นได้<br /><br /> กล่าวคือ กลุ่มคนที่ร่วมชุมนุมทั้งในเสื้อเหลืองและเสื้อแดง และฝ่ายรัฐบาลมองในภาพรวมอาจมีจุดหมายเดียวกัน คือทำเพื่อประเทศชาติ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ในกลุ่มผู้ชุมนุมสีเดียวกันนั่นเอง ก็อาจมีเหตุผล หรือจุดหมายหรืออุดมการณ์และวิธีปฎิบัติต่างกันด้วย นั่นคือ การไม่ตัดสินการกระทำทั้งของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดแบบ “เหมารวม” พร้อมๆ กับ ไม่ตัดสินกฎกติกาและการกระทำของฝ่ายรัฐบาล แบบ “เหมารวม” ทั้งหมดว่า “ปฏิบัติสองมาตรฐาน” แต่พร้อมที่จะแยกส่วนดี ส่วนร้าย และสถานการณ์ บริบท และเหตุผลให้สอดคล้องกับความเป็นจริง การไม่เหมารวมเท่ากับมิได้ผลักให้ “ผู้บริสุทธิ์” บางคน บางกลุ่มที่รวมในกลุ่มใหญ่นั้น ให้กลายเป็นเหยื่อที่ได้รับความกดดัน และพร้อมที่จะระเบิดความรุนแรงออกมาอีกครั้งหนึ่ง<br /><br /> ที่กล่าวทั้งหมดนี้ นำไปสู่คำถามที่ว่า ทำอย่างไรให้ข้อสงสัยความไม่ไว้วางใจได้รับการอธิบายให้กระจ่างแจ้ง ในทุกกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กำลังสงสัยอยู่ “การทำความจริงให้ปรากฏ” เป็นอีกองค์ประกอบของการนำสันติวัฒนธรรมมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงในสถานการณ์ปัจจุบัน<br /><br /> นอกจากนั้น การสื่อสารโดยผ่านการฟังด้วยใจ ที่พร้อมจะเรียนรู้ถึงสาเหตุ เงื่อนไข ปัจจัย และความต้องการอย่างแท้จริงของทุกฝ่าย ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การป้องกันและการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ความรู้สึกที่ตัดสินไว้ก่อนว่า “ช้าเกินไปแล้วที่จะพุดคุยกัน” หรือ “ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูด และฟังกับผู้กระทำความรุนแรง” หรือ แม้แต่คำพุดที่ได้ยินว่า “เปล่าประโยชน์ ที่จะพูดคุยกับกลุ่มบุคคลที่มีการกระทำคล้ายโจร” เหล่านี้เป็นท่าทีที่ไม่สร้างสรรค์ที่จะก่อให้เกิดการกลับคืนมาแก้ปัญหาร่วมกัน<br /><br /> ถึงแม้ว่าคำว่า “สมานฉันท์” “การประนีประนอม” และ “สันติวิธี” อาจแสลงหู หรือ “จึ๊ก”ในใจของใครหลายๆ คน แต่ด้วยความเชื่อมั่นในการพัฒนาของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในหัวใจของผู้คนจึงจำเป็นต้องคิดต่อไปถึงคำว่า “ให้อภัย”<br /><br /> เช่นกัน การเรียกร้องให้อภัยซึ่งกันและกัน ดูเหมือนเป็นคำที่ขบขัน และดูว่าเป็นไปไม่ได้ ในสภาพความรุนแรงที่เพิ่งผ่านมา<br /><br /> มิใยที่จะรู้สึกขัดเขินที่จะเรียกร้องการให้อภัยทางการเมืองเท่านั้น สำหรับความขัดแย้งระหว่างบุคคล ก็ยากไม่น้อยที่จะหลุดปาก คำว่า ให้อภัยกันได้อย่างจริงใจ<br /><br /> ตามความเข้าใจ การให้อภัยก็มีพื้นฐานใกล้เคียงกับความพยายามที่ไม่ใช้ความรุนแรง กล่าวคือ การให้อภัยและสันติวิธี มิใช่เป็นเรื่องอุดมคติหรือความสมบูรณ์เลิศเลอของแต่ละบุคคล หากแต่เป็น<span style="font-style:italic;">กระบวนการที่เราสามารถสร้างให้เติบโต และฟูมฟักให้ค่อยๆ เกิดขึ้นในใจเราได้</span><br /><br /> อาจเริ่มจากการให้อภัยตัวเอง หรือกลุ่มของตัวเองให้ได้ก่อน นายแพทย์เอ็ดเวิร์ด เอ็ม ฮัลโลเวลส์ ได้กล่าวไว้ ในหนังสือ “<span style="font-style:italic;">กล้าให้อภัย</span>” ที่แปลโดยคุณ วิรงรอง นิกูลกาญจน์ ว่า “<span style="font-weight:bold;">การให้อภัยตนเองหมายถึงการที่คุณเลิกหวังว่าอดีตจะเปลี่ยนแปลงได้</span>” เมื่อให้อภัยตนเองและกลุ่มของตนเองได้แล้ว ค่อยๆ คืบคลานไปเริ่มให้อภัยผู้อื่น ซึ่งหมายถึงเราต้องเลิกความไม่พอใจหรือความโกรธ และเราต้องไม่พยายามที่จะลืม หรือแก้ตัวให้กับคนใด หรือสิ่งใดที่เลวร้าย เราเพียงแต่ละทิ้งความโกรธและความไม่พอใจของตัวเราเอง (เท่านั้น)<br /><br /> ในท่ามกลางอารมณ์ ผิดหวัง เสียใจ ไม่สมประสงค์ของพี่น้องทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง (บางครั้งของบางคน) ความรู้สึกยอมรับต่อเสียงเรียกร้องให้อภัยซึ่งกันและกันก็คงทำได้ แต่ถ้าได้เข้าใจคำศัพท์ “อภัย” คือ <span style="font-style:italic;">การให้สิ่งที่ไม่เป็นภัย</span> สิ่งนั้นอาจเป็นความเข้าใจ การให้กำลังใจ ความเห็นใจ การให้อภัยก็จะเกิดขึ้นได้ทั้งๆ ที่ การให้อภัยอาจไม่ใช่การยกโทษให้ (ดังนั้นจึงต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม) ความเข้าใจเหล่านี้อาจทำให้พวกเราผู้อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งได้เริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางการให้อภัยได้บ้างไม่มากก็น้อย<br /><br /> <span style="font-weight:bold;">ขอสติ ความสงบ และไม่ท้อแท้ใจกลับคืนมาสู่คนไทยที่รักทุกคน</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-12605031040299621922009-05-10T07:00:00.002+07:002009-06-06T21:28:28.286+07:00บทความที่ ๑๕๐: เจ็ดคน สามวัน : ช่วงเวลามหัศจรรย์ของฉัน<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjq2oZ7uVepQcDqDOdEhTigtb5q_9si4v-6zseSPA0v1ja9lpd1pQ6XFXT8WD0UTExzSpWAY6x-u2X8m1377tS_rYqpQ7EEP_ADpcIM3ALzRrGtyPRLiuhL0Q7tSEqLJTciu-XdSw/s1600-h/seaside.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjq2oZ7uVepQcDqDOdEhTigtb5q_9si4v-6zseSPA0v1ja9lpd1pQ6XFXT8WD0UTExzSpWAY6x-u2X8m1377tS_rYqpQ7EEP_ADpcIM3ALzRrGtyPRLiuhL0Q7tSEqLJTciu-XdSw/s320/seaside.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5333074351681592482" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">ธนัญธร เปรมใจชื่น</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <a href="mailto:ContemplativeEducation@yahoo.com">ContemplativeEducation@yahoo.com</a><br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒<br /> <br /><br /> สามวันสุดท้ายของมีนาคมที่ผ่านมานี้ ฉันมีโอกาสได้พักผ่อนริมทะเลแถวสัตหีบกับเจ็ดสาวหนุ่มผู้แสวงหาวิถีแห่งการเติบโตทางจิตวิญญาณ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เรียนปริญญาโท สาขาจิตตปัญญาศึกษาฯ ม.มหิดลนั่นเอง แล้วก็มีคณะวิทยาศาสตร์จากสถาบันเดียวกันหนึ่งคน กับสาวสวยอีกคนที่เลือกจะยังไม่เรียนในระบบ แต่ออกแสวงหาครูทางจิตวิญญาณสลับกับการเรียนรู้และค้นหาด้วยตนเองแทน ล้วนเป็นเจ็ดคนที่เหมือนจะคล้ายแต่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การใช้เวลากับทั้งเจ็ดคนนี้อย่างใกล้ชิดจึงเป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากสำหรับตัวฉัน<br /><br /> มันน่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่คนประสานงานโทรมาติดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกรงใจ ถ่อมตน และชื่นชมอยู่ไม่ขาดปาก ประมาณว่าพวกเขาจะร่วมกันทำค่ายพัฒนาด้านในให้น้องๆ เยาวชน แต่ด้วยความที่ยังไม่มีประสบการณ์บวกกับอยากเรียนจากฉันซึ่งทำกระบวนการเหล่านี้เป็นอาชีพและเชี่ยวชาญด้านเยาวชน จึงอยากเชิญให้ฉันมาเป็นพี่เลี้ยงอีกทอดหนึ่ง ไอ้คำว่า “มืออาชีพ” และ “ผู้เชี่ยวชาญ” นี่แหละที่ทำให้เดินสะดุด ก้าวไม่ข้ามเสียที นี่ขนาดพูดออกตัวทั้งกับคู่สนทนาและตัวเองก่อนด้วยนะว่าฉันไม่อยากถูกเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญเลย เพราะพอได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นเมื่อไร ดูเหมือนจะกลายเป็นคนที่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ในเรื่องเดียวกันได้ยากกว่าผู้อื่น เพราะมีบทสรุปการพิสูจน์แล้ว ดีแล้ว สุดยอดแล้ว ซึ่งหลอกตัวเองเปล่าๆ ในเมื่อมันไม่มีหรอก “ที่สุด” น่ะ เราคิดกันเอาเองทั้งนั้น หรือบางทีมันอาจเป็นที่สุดสำหรับเราจริงในวันนี้ แต่ก็มิได้หมายความว่ามันยังเป็นเช่นนั้นในวันพรุ่ง และในอีกหลายๆ วันในชีวิตของเรา<br /><br /> พอเจอกันวันแรกดูเหมือนการแต่งตัวรับลมทะเลด้วยสายเดี่ยวของฉันจะทำให้พวกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ฉันเองก็รับรู้ถึงความตึงที่หน้าตัวเองขึ้นมาเช่นกัน อยู่ๆ ก็รู้สึกอายและคิดใคร่ครวญถึงความเหมาะสมของตน เพราะมันสบายจนไม่ได้คิดเรื่องภาพลักษณ์เลย แต่มันก็เป็นบทเรียนเล็กๆ ร่วมกันของเราหลังจากนั้น เพราะการสนทนาพาให้เรามาถึงเรื่องที่ว่า <span style="font-weight:bold;">ความคิดความรู้สึกของเราที่มีต่อคนๆ หนึ่ง มันมีผลทำให้เขาคิดและรู้สึกต่อเราเช่นนั้นด้วย</span><br /><br /> การมาเที่ยวด้วยกันคราวนี้เป็นเหมือนการเตรียมความพร้อมของทีม และทีมที่พร้อมในความคิดเราก็น่าจะเป็นทีมที่รับรู้กันและกัน ไม่ได้มีกระบวนการอะไรมากนัก แต่การสนทนาแต่ละช่วงนั้นเข้มข้นเหลือเกิน<br /><br /> โดยเฉพาะในคืนสุดท้าย ฉันชวนพวกเขามานั่งล้อมวงนินทาเพื่อน ตามแบบที่เคยเข้าอบรมศิลปะบำบัดของครูยาค็อบ ชาวอิสราเอล คือ การนั่งล้อมวงเข้าหากัน ใครคนหนึ่งในวงจะอาสานั่งหันหลังให้วง ส่วนเพื่อนๆ ที่เหลือก็ทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ แล้วช่วยกันพูดถึงเขา ทั้งนี้ ก่อนเริ่มกิจกรรมเรานั่งสงบร่วมกัน ฉันช่วยนำพาให้หัวใจแต่ละดวงเปิดใจรับ ... ของขวัญแห่งมิตร ... ในขณะที่เราพร้อม แต่ละคนดูมีประกายของผู้เปิดรับอย่างเต็มเปี่ยม แต่สิ่งที่ยากคือ การรับคำชม มากกว่าการถูกตำหนิ เสนอแนะ ซึ่งเอาเข้าจริงก็แทบไม่มีใครพูดถึงเพื่อนในด้านไม่ดีเลย ถึงมีก็ดูสุภาพมากๆ สักพักก็เริ่มคม ชัดเจน ห่วง กังวล ไหลปะปนมาให้ได้รับฟัง<br /><br /> พอทุกคนได้หมุนวนสลับกันเป็นคนนั่งหันหลังจนเสร็จครบ รวมทั้งฉันด้วยแล้ว ฉันจึงลองแย้มถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง หลายคนรู้สึกว่าได้รับของขวัญจริงๆ บ้างรู้สึกค้าน บ้างเริ่มตัดพ้อ จริงๆ มันก็เป็นธรรมดามาก ที่เราจะรับกับตัวเองได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ในด้านต่างจากที่เคยเชื่อและมีข้อสรุปต่อตัวเองมา น้องคนหนึ่งบอกกับวงว่า เขาปฏิบัติมาเยอะมาก นานมาก อาจมากกว่าเพื่อนหลายคนในนี้ จนเชื่อว่าตนงดงามแล้ว แต่เมื่อได้ฟังจากเพื่อนที่มองมาที่ตนเองแล้ว ทำให้บอกกับตัวเองว่ายังไม่พอ ฉันเลยบอกกับน้องสาวคนนี้ว่า สำหรับการฝึกตนอาจจะไม่มีคำว่า “พอ” ดูอย่างนักบวชสิ แม้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว บางท่านเพียงห่างหายการบำเพ็ญไปบ้างก็อาจทำให้พลั้งพลาดไปก็มี และเรื่องเชิงจิตวิญญาณนี่ เราอาจต้องเอาความคิดแบบปริมาณโยนค้างไว้ก่อนก็เป็นได้ มันอาจไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า สิบปี สิบห้าปี ยี่สิบปี จะมีคำตอบที่ใช่สำหรับทุกสิ่ง<br /><br /> บางอย่างทำให้ฉันนึกย้อนถึงครั้งหนึ่งที่จิตสัมผัสถึงความแจ่มกระจ่าง จนรู้สึกอิ่มเอมอย่างลึกซึ้งแล้วทึกทักเองว่า ตนก้าวสู่จิตตื่นรู้แล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็พูดถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับนักรบที่หลงภาคภูมิกับวีรกรรมในครั้งหนึ่งของชีวิต เหมือนจิตที่ค้างอยู่ในความสำเร็จเดียว แล้วหยุดการเติบโตไม่รับรู้และเปิดรับอื่นใดอีก <span style="font-weight:bold;">เพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เคยเอื้อมถึงนั้นเป็นแต่เพียงการมีตัวตนต่อโลกเหมือนตัวละครที่ไฟส่องฉาย เป็นเสียงของการยอมรับ เป็นศรัทธาอันดีงามที่มีต่อตนเอง ซึ่งมันไม่นิรันดร์<br /></span><br /> และสำหรับบางคน การถูกพูดถึงในแง่มุมที่ต่างจากภาพลักษณ์ที่ตนวาดไว้ อาจเปราะบางมาก และไม่ควรมีใครตำหนิเขาด้วย ประสบการณ์ต่อโลกของเราต่างกัน ผลกระทบ ภาพสะท้อน การตอบสนองก็ต่างกัน แม้ว่ามันอาจทำให้ใครบางคนลุกขึ้นมาปกป้องตนเอง แก้ต่างหรือแม้แต่สาดสิ่งที่ตนได้รับนั้นใส่ผู้คนอย่างกราดเกรี้ยว ชิงชัง ก็ตามที<br /><br /> ตอนที่แต่ละคนได้รับคำชื่นชม ฉันรู้สึกเหมือนความงดงาม ดีงามของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อตัวฉันที่ถูกชี้ให้เป็นไปด้วย และก็พบว่าฉันยังต้องหมั่นดูแล ใคร่ครวญกับหลายๆ เรื่องของฉัน ที่พวกเขาพูดถึงผ่านตัวตนของเพื่อนของพวกเขาที่หันหลังให้เราแต่ละคน<br /><br /> จริงๆ แล้วสามวันมันน้อยมาก ใครก็พูดแบบนั้น สามสี่วันที่ชีวิตฉันถูกจับจัดเป็นช่วงๆ นั้น มันเจ๋งเป้งไปเลย และสามวันกับสาวหนุ่มกลุ่มนี้ก็เยี่ยมมากจริงๆ ... ขอบคุณนะUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-79649211370542730152009-05-03T07:00:00.003+07:002009-06-06T21:28:13.168+07:00บทความที่ ๑๔๙: เดินทางสู่ความเรียบง่าย<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgg8t7Oj4sk4MCNlRuOxkBmUK4DYbRpCsyBFy2EHumuYc95CMMyQwwdx1WmdO19oESG884ddJhNPB0WbbxB4aQoU45PWA4hpg3VVgyaZoXkktj5gVasiNvfI7Wp6oWOSAkFOgwl7w/s1600-h/md_020_5A.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 301px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgg8t7Oj4sk4MCNlRuOxkBmUK4DYbRpCsyBFy2EHumuYc95CMMyQwwdx1WmdO19oESG884ddJhNPB0WbbxB4aQoU45PWA4hpg3VVgyaZoXkktj5gVasiNvfI7Wp6oWOSAkFOgwl7w/s320/md_020_5A.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5330323605624076850" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight:bold;">พูลฉวี เรืองวิชาธร</span> <br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <a href="mailto:ContemplativeEducation@yahoo.com">ContemplativeEducation@yahoo.com</a><br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒<br /><br /> กลางกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีโอกาสได้แบกเป้ เดินเท้า เข้าป่าที่บ้านสบลาน มหาวิทยาลัยชีวิตของชาวปกากะญอ โดยมีเพื่อนร่วมทางรวมสามสิบชีวิตพอดี มีทั้งที่เคยและไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผู้เขียนเริ่มต้นการเดินทางด้วยการตั้งจิตอธิษฐานว่า “<span style="font-style:italic;">ตลอดการเดินทางหกวันข้างหน้านี้จะทดลองเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติป่าเขาไร้ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ที่เราคุ้นเคย ด้วยการเฝ้ามองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกอย่างเนิบช้ามีสติตื่นรู้ และใคร่ครวญต่อสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตามที่มันเป็น</span>”<br /><br /> ขณะที่รถสองแถวจากเชียงใหม่พาเรามุ่งหน้าตรงดิ่งไปอำเภอสะเมิงนั้น ไอร้อนของแดดยามเที่ยงพัดผ่านปะทะกับใบหน้า เนื้อตัวเป็นวูบๆ เหงื่อเริ่มซึมตามเนื้อตัว (อากาศช่วงนี้กลางวันร้อนจัดแต่กลางคืนกลับยังคงหนาวเหน็บ) รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวเท่าใดนัก โดยปรกติหากเลือกได้เราก็มักเลือกนั่งรถปรับอากาศซึ่งสะดวกสบายกว่ารถสองแถว เหมือนกับชีวิตคนทั่วไปซึ่งมักจะเลือกในสิ่งที่เราอยากได้ อยากมี อยากเป็นไว้ก่อน หากเลือกไม่ได้เราก็ต้องฝืนยอม แต่ในชุมชนแถบนี้แทบไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เลือกในสิ่งที่เขาต้องการเท่าใดนัก อย่างน้อยบนดอยนี้ก็ไม่มีรถปรับอากาศไว้ให้บริการเลย <span style="font-weight:bold;">อากาศร้อนภายนอกน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ใจที่กำลังร้อนรนนี่สิสำคัญกว่า</span> ในฐานะทีมผู้จัดจึงเริ่มกังวลว่าเพื่อนๆ ร่วมเดินทางจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ถนนหนทางจากตัวอำเภอสะเมิงขึ้นดอยสบลานเริ่มทำให้รถโขยกเขยก ฝุ่นแดงฟุ้งกระจายเข้ามาในรถ หลายคนเริ่มนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากและจมูกกันฝุ่น กว่าจะถึงหมู่บ้านสบลานพวกเราก็เปลี่ยนเป็นคนไทยหัวแดงไปตามๆ กัน<br /><br /> วิถีชีวิตที่ไม่คุ้นเคยเริ่มต้นแล้ว เรามาถึงหมู่บ้านตอนบ่ายแก่ๆ ชาวบ้านออกมารอต้อนรับพาเราเข้าพักที่บ้าน เราแยกย้ายกันพักบ้านละสามคน หมู่บ้านนี้มีเพียงยี่สิบหลังคาเรือนประชากรรวมทั้งหมดประมาณเกือบร้อยคน ลักษณะของบ้านที่นี่จะโปร่งโล่งอากาศถ่ายเทสะดวก ส่วนใหญ่ไม่มีห้องหับอย่างมากก็มีเพียงฟากไม้ไผ่ (ไม้ไผ่ที่ตีแตกออกเป็นแผ่น) ที่ใช้ทำเป็นผนังกั้นห้อง ไม่มีเตียงนอนมีแต่เสื่อ ส่วนไฟฟ้าหรือเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลายคงไม่ต้องพูดถึง บางบ้านมีห้องส้วมแต่บางบ้านเจ้าของบ้านบอกกับเราว่า ส้วมมีอยู่ทุกที่ เพื่อนๆ หลายคนมองหน้ากันกึ่งถามในใจว่าเป็นอย่างไรกันบ้างพอไหวไหม??? พวกเราอาบน้ำกันที่ลำธารซึ่งเดินไปเพียงสิบนาทีจากหมู่บ้าน น้ำในลำธารนอกจากจะช่วยชำระร่างกายให้สะอาดแล้วยังช่วยให้ใจที่เหนื่อยล้าจากความวุ่นวายในเมืองได้กลับมารู้สึกชุ่มชื่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ที่นี่จะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเหมือนในเมืองก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตลำบากจนเกินไปนัก แต่กลับทำให้ได้สัมผัสถึงธรรมชาติงดงามที่ห่างหายจากเรามานาน<br /><br /> แสงเทียนแห่งค่ำคืนแรกในหมู่บ้านนั้นช่างเป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ความจริงใจและมิตรภาพของชาวปกากะญอซึ่งหาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน เราได้รับรู้รับฟังเรื่องราวชีวิตที่อ่อนน้อมถ่อมตนและเชื่อมโยงกับธรรมชาติสรรพสิ่งของชาวปกากะญอตั้งแต่เกิดจนตาย จากเรื่องเล่าที่เร้าพลังด้วยสรรพสำเนียงภาษาไทยปนภาษาพื้นถิ่นของพะตี่ตะแยะปราชญ์ชาวปกากะญอ (พะตี่ แปลว่าลุง) สลับเสียงด้วยปกากะญอท่านอื่นๆ และคำถามจากผู้ที่มาเยี่ยมเยือนด้วยความสุขสนุกสนาน<br /><br /> มีช่วงหนึ่งที่ประทับใจผู้เขียนมาก พะตี่บอกว่า “ดวงดาวที่นี่อยู่บนท้องฟ้าเต็มไปหมด แต่ดาวที่กรุงเทพฯ อยู่บนพื้นดิน” ฟังแล้วเริ่มงงว่าเกิดอะไรขึ้น พะตี่เล่าต่อว่า “ครั้งแรกที่ได้มีโอกาสไปกรุงเทพฯ คนที่พาไปก็ใจดีพาขี่เครื่องบินไป พอถึงกรุงเทพฯ เครื่องบินกำลังจะร่อนลง มองลงไปพื้นดินเห็นดาวระยิบระยับเต็มไปหมด พะตี่ก็ตกใจว่าทำไมดาวที่กรุงเทพฯ ไม่เหมือนกับดาวที่บนดอยบ้านเฮา” จริงสินะเราไม่ค่อยได้สังเกตเท่าไรนักว่าดวงไฟมากมายในเมืองมองไปก็คล้ายกับดวงดาวบนท้องฟ้าระยิบระยับเต็มไปหมด จะต่างกันก็เพียงแต่ดวงดาวบนท้องฟ้านั้นธรรมชาติสรรค์สร้างมาให้มีความงดงามเปล่งประกายทุกค่ำคืน อีกทั้งเป็นประโยชน์มากมายต่อสรรพชีวิตในจักรวาลนี้ แต่ดวงไฟในเมืองนั้นสิเป็นสิ่งที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้มนุษย์เท่านั้น และกว่าจะได้ดวงไฟเหล่านั้นมาส่องสว่างก็ไม่รู้ว่าต้องทำลายสรรพชีวิตและธรรมชาติมากมายไปเท่าไร ยิ่งได้รับฟังเรื่องราวก็ยิ่งทำให้รู้สึกเคารพนับถือวิถีชีวิตที่เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นมิตรและเคารพต่อธรรมชาติและสรรพสิ่งของคนบนดอย ถึงแม้เขาจะไม่มีวัตถุทรัพย์สินสิ่งอำนวยความสะดวกภายนอกมากมาย แต่เขาก็แสดงให้เราเห็นถึง<span style="font-weight:bold;">ความสุขแท้ที่เกิดจากความมั่นคงภายในเป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกพอใจกับสิ่งที่มีที่เป็น เราสัมผัสรับรู้ได้จากแววตาและน้ำเสียงที่บอกเล่าให้เราฟัง</span><br /><br /> เช้าวันที่สองพอเราเดินเท้ามุ่งเข้าป่า ความสามารถในการสังเกตรายละเอียดรอบตัวก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น เดินผ่านผืนนาขั้นบันไดของชาวบ้านก็รู้สึกได้ถึงความงดงาม หากเป็นฤดูที่ข้าวออกรวงคงเหลืองอร่ามไปทั้งผืน กองขี้วัวสดๆ บนผืนนาที่ถูกเหยียบเป็นรอย คงเป็นรอยเท้าของเพื่อนที่เดินนำหน้าไม่ทันระวัง นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนเมืองที่ไม่ค่อยจะสังเกตสังกาสิ่งรอบกายเท่าใดนัก อาจจะมีผลมาจากการใช้ชีวิตที่รีบเร่งแข่งกับเวลาหรือบางครั้งแข่งกับอะไรก็มิอาจรู้ได้ เราก็ทำจนเป็นความคุ้นชินไปแล้วกระมัง ผู้เขียนเองสังเกตเห็นว่าชีวิตที่ผ่านมาในแต่ละวันที่เดินออกจากบ้านนั้นแทบจะไม่ได้ใส่ใจมองสองข้างทางหรือสิ่งต่างๆ รอบๆ กายที่ผ่านไปเลย ใจเราจดจ่ออยู่กับที่หมายว่าเราจะไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องน่าเศร้าอีกเรื่องหนึ่งสำหรับชีวิตคนในเมือง ที่เราแทบไม่เคยได้ดื่มด่ำกับความงามตามธรรมชาติสองข้างทางที่เราเดินผ่านซึ่งยังคงมีอยู่ถึงแม้จะเหลืออยู่น้อยนิดก็ตามที<br /><br /> ลำน้ำแม่ขานไหลคู่ขนานตลอดเส้นทางที่เราเดิน เสียงน้ำแรงบ้าง เบาบางตามจังหวะเกาะแก่งที่น้ำไหลผ่าน บางช่วงก็ไหลเอื่อยๆ เนิบช้า หากชีวิตเราเป็นอย่างลำน้ำได้บ้างก็จะดีสินะ มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ รู้จักแรงบ้าง เบาบ้างตามจังหวะที่ควรจะเป็น เมื่อมองย้อนกลับไปทบทวนชีวิตตัวเองที่วิ่งวุ่นทำโน่นทำนี่แข่งกับเวลา แข่งกับงานที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แสดงออกด้วยพฤติกรรมต่างๆ ที่กดดันทั้งตัวเองและคนรอบข้างอยู่เสมอทั้งที่รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง หรือบางครั้งไม่มีอะไรจะต้องแข่งแต่ก็ยังลืมที่จะใช้ชีวิตเนิบช้าหรือลืมผ่อนคลายความตึงเครียดลงบ้าง<br /><br /> สิ่งแรกที่เห็นพะตี่ตะแยะทำเมื่อเราเดินถึงแม่ขานบริเวณที่เราจะใช้เป็นสถานที่พักค้างในอีกสี่คืนข้างหน้าก็คือ การนำอาหารบางส่วนใส่ใบไม้นำไปวางไว้บริเวณโคนไม้ใหญ่และพนมมือไหว้หลับตาสวดมนต์ พะตี่บอกว่า “เราจะมาอาศัยป่าอยู่ ต้องขอเจ้าป่าเจ้าเขาก่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะได้คุ้มครองให้พวกเราปลอดภัย” และทุกครั้งที่พะตี่หรือปกากะญอท่านอื่นๆ จะทำอะไรขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ในป่า เช่น จะตัดกระบอกไม้ไผ่มาใส่น้ำดื่ม จะถากเปลือกไม้ที่เป็นยาสมุนไพรมาต้มให้พวกเรากิน ออกไปหาปลาในลำน้ำ ฯลฯ เขาจะยกมือขึ้นไหว้ด้วยความเคารพทุกครั้ง การกระทำเหล่านี้แหละที่ตอกย้ำให้รู้สึกและสัมผัสได้ถึงจิตใจที่นุ่มนวลอ่อนน้อมถ่อมตนเคารพต่อธรรมชาติและสรรพสิ่งรอบๆ กายของชาวปกากะญอ<br /><br /> ระหว่างการใช้ชีวิตในป่ามีช่วงเวลาหนึ่ง (สองคืนกับหนึ่งวันเต็มๆ) ที่ต่างคนต่างออกไปแสวงหาพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเพื่อที่จะอยู่คนเดียวพร้อมกับอดอาหาร ขณะที่ธรรมชาติรอบกายภายนอกสงบนิ่งแต่ในใจผู้เขียนกลับปั่นป่วนวุ่นวาย บางครั้งก็รู้สึกเบื่อ เซ็ง เหงา ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี แต่ก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าเฝ้าดูการกระเพื่อมขึ้นลงของจิตใจ จึงเห็นจิตใจปั่นป่วนจนแทบบ้าคลั่ง ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานซะเหลือเกิน บางขณะก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าลึกๆ แล้วเราเป็นคนขี้เหงาหรืออยู่กับตัวเองได้ยากใช่ไหม ซึ่งคงจะจริงและคงเป็นเพราะชีวิตที่ผ่านมาบ่อยครั้งพอมีเวลาว่างก็ต้องทำโน่นทำนี่จนรู้สึกว่ามีเรื่องที่ยุ่งๆ ตลอดเวลา บ่อยครั้งที่อยู่ท่ามกลางผู้คนที่ผ่านไปผ่านมามากมายในเมืองแต่ในใจกลับรู้สึกเหงาโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งพอกลับถึงห้องพักสิ่งแรกที่ทำก็คือเปิดทีวีหรือเปิดเพลงใช้เสียงเป็นเพื่อนหรือคุยโทรศัพท์ ทนอยู่กับความเงียบคนเดียวนานๆ ไม่ได้จิตใจมันร้อนรน การได้มาทดลองเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองครั้งนี้ก็เป็นเครื่องตอกย้ำอีกครั้งว่าที่ผ่านมาเราฝึกฝนที่จะอยู่กับตัวเองน้อยเกินไป เพียงแค่สองคืนกับหนึ่งวันเรายังทุรนทุรายได้ถึงขนาดนี้<br /><br /> ก่อนออกจากป่ากลับสู่เมืองตั้งจิตอธิษฐานอีกครั้งว่า “<span style="font-style:italic;">เราจะเริ่มต้นเดินทางเรียนรู้ที่จะเฝ้ามองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก ฝึกฝนที่จะอยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง ทดลองการใช้ชีวิตเนิบช้าท่ามกลางความเร่งรีบแข่งขันบนวิถีของคนเมือง การใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เราคุ้นเคยอย่างมีสติตื่นรู้</span>” ระหว่างทางเดินกลับออกจากป่าแต่ละย่างก้าวที่รู้ตัวก็ตอกย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่า “เส้นทางข้างหน้าคงไม่ราบเรียบนัก เมื่อใดก็ตามที่ผิดพลาดพลั้งเผลอจะขอน้อมรับ และจะขอเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่รู้ตัว”<br /><br /> หมายเหตุ : ประสบการณ์จากการเข้าร่วมเรียนรู้นิเวศภาวนา ระหว่างวันที่ ๑๗–๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ บ้านสบลาน อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ จัดโดย เสมสิกขาลัยUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-27678352.post-4435069833864979002009-04-27T13:56:00.003+07:002009-06-06T21:27:58.716+07:00บทความที่ ๑๔๘: Seeing Yourself in Another One’s Eyes<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisd7gh-x0QH1XP1RHCeqqEw0jExTyC-Cqxv1PuIZP4Cf8Eep36p6Rl_8dMdr2hHbkZqTKBw5049vA7fNxv4VBLFNuWg3qATwG67q1_Uwp7XUg6NEyMr_ieo3xbusoIgzaqZlqnAQ/s1600-h/quantum.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 208px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisd7gh-x0QH1XP1RHCeqqEw0jExTyC-Cqxv1PuIZP4Cf8Eep36p6Rl_8dMdr2hHbkZqTKBw5049vA7fNxv4VBLFNuWg3qATwG67q1_Uwp7XUg6NEyMr_ieo3xbusoIgzaqZlqnAQ/s320/quantum.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5329262401519626098" /></a><br /><br />โดย <span style="font-weight: bold;">เมธาวี เลิศรัตนา</span><br />เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา <a href="mailto:ContemplativeEducation@yahoo.com">ContemplativeEducation@yahoo.com</a><br />คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๒<br /> <br /><br /> ประเด็นที่ผู้เขียนกำลังจุ่มจมความคิดและความรู้สึกเอาไว้ในช่วงนี้ก็คือ “การเฝ้ามอง เฝ้าสังเกตตัวเอง ด้วยสายตาของผู้อื่น” เฝ้าสังเกตว่าเหตุใดผู้คนจึงแสดงออก หรือ “เป็น” อย่างที่พวกเขากำลังเป็นอยู่ รวมถึงตัวของเราเองด้วย<br /><br /> ผู้เขียนเริ่มต้นจากการอ่านชีวประวัติของเหล่าผู้ให้กำเนิดและสืบค้นวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ อย่างเช่น บิดาควอนตัม <span style="font-weight:bold;">นีลส์ บอห์ร (Niels Bohr)</span> ในวัยเด็กจนกระทั่งเข้าสู่วัยหนุ่ม บอห์ร กับน้องชายได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นผู้สังเกต และ “ฟัง” การสนทนาของนักคิด นักปรัชญา ซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อที่มาตั้งวงกันที่บ้านทุกสัปดาห์ โดยสองพี่น้องไม่ได้รับอนุญาตให้พูด หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ จึงมีการวิเคราะห์กันว่า ด้วยเหตุนี้บอห์รจึงได้บ่มเพาะคำถามไว้ภายใน จากการฝึกฟังอย่างลึกซึ้ง กลายเป็นความซับซ้อนทางความคิด พลวัตของการใคร่ครวญคำนึง จนเผยออกเป็นบุคลิกภาพ เป็นเนื้อเป็นตัวนีลส์ บอห์ร อย่างที่หลายๆ คนได้สัมผัสและพูดถึงเขาว่า บอห์รผู้ล้ำลึก ขณะเดียวกันนั้นเองบอห์รก็แทบจะสื่อสารเป็น “คำพูด” กับใครไม่ได้เลย อาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้พูด บอห์รพูดน้อยจนกระทั่งแทบจะนับคำได้ และเมื่อต้องพูดอธิบายอะไรยาวๆ ก็จะต้องมีล่ามแปลภาษาบอห์รที่มักจะเป็นลูกชาย น้องชาย หรือไม่ก็ภรรยา<br /><br /> ส่วนคนที่สองที่ผู้เขียนอยากพูดถึงก็คือ <span style="font-weight:bold;">ริชาร์ด ฟายน์แมน (Richard Feynman)</span> นักฟิสิกส์อัจฉริยะชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลโนเบล จากการพัฒนา quantum electrodynamics ศึกษาพฤติกรรมของอนุภาค-Feynman diagrams ผู้เป็นทั้งนักดนตรีและจิตรกรพร้อมกัน ถึงกระนั้นฟายน์แมนก็ยังสนุกสนานกับการ “เล่นกล” จนอาจกล่าวว่าเขาหลงเสน่ห์มายากลเลยก็ว่าได้ เขายังชอบถอดรหัส ไม่ว่าจะเป็นรหัสของศิลปะแขนงต่างๆ รหัสกล รหัสลับทางธรรมชาติ ไปจนถึงรหัสเซฟ เขาเล่าว่า พ่อของเขาผู้เป็นเซลส์แมนธรรมดาๆ นั้นไม่เคยทนความอยากรู้เทคนิคต่างๆ ของนักมายากลได้เลย พ่อจะใช้ความสามารถทุกอย่างเพื่อหาคำอธิบายว่า พวกนักมายากลเล่นกลได้อย่างไร แล้วสิ่งนั้น ความอยากรู้อันลึกล้ำนั้น ก็ได้เข้ามาสู่ชีวิตจิตวิญญาณของลูกชาย<br /><br /> คนสุดท้ายที่ผู้เขียนอยากจะยกมาก็คือ <span style="font-weight:bold;">ไบรอัน กรีน (Brian Greene)</span> นักฟิสิกส์ทฤษฎีร่วมสมัยผู้มุ่งมั่นกับการก่อประกอบทฤษฎีสรรพสิ่ง ทฤษฎีสายใยจักรวาล (String Theory) ผู้เขียนได้ค้นพบแหล่งที่มาแห่งอัจฉริยภาพของกรีนเข้าโดยบังเอิญจากการอ่านหนังสือของเขา กรีนเล่าว่า พ่อกับเขามีเกมหนึ่งที่เล่นกัน เป็นประจำในวัยเด็ก นั่นคือการตั้งคำถามแล้วให้อีกฝ่ายตอบอย่างรวดเร็ว (จนแทบไม่ต้องคิด) คำถามก็จะประมาณ “แมลงที่เกาะอยู่ตรงล้อรถคันนั้นเห็นอะไร” “นกที่กำลังบินโฉบอยู่นั่น มันเห็นอะไร” เมื่อถูกถามว่า “มดที่อยู่บนฮอทดอกซึ่งพ่อค้ากำลังโรยผักลงไปนั้น มันเห็นอะไร” กรีนก็จะตอบอย่างรวดเร็วไปว่า “กำลังยืนอยู่บน วัตถุทรงกลมสีเข้ม มีผนังสีขาวหยุ่นๆ โดยรอบ และมีผักตกลงมาจากฟ้า” แล้วด้วยเหตุแห่งเกมของพ่อนี้เองกระมังที่ทำให้กรีนกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกใบนี้ที่แตกฉานในสัมพัทธภาพ<br /><br /> นักฟิสิกส์อัจฉริยะทั้งสามซึ่งผู้เขียนยกมาคราวนี้ก็เป็นตัวอย่างการมองด้วยสายตาของผู้อื่น แล้ว “เห็น” ความเกี่ยวเนื่องโยงใยอันซ่อนเร้นภายใน ซึ่งเผยออกสู่ภายนอกของเขาเหล่านั้น<br /><br /> แล้วก็มาถึงวัยเด็กของตัวผู้เขียนเอง ตัวตนอันใครต่อใครมักจะมองว่าเป็นมนุษย์ประหลาด (ทั้งที่เราก็ต่างแปลกประหลาดในสายตาของกันและกันทั้งนั้น) เรื่องราวอาจจะเริ่มต้นในตอนบ่ายแก่ๆ ของวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง ในวันนั้นผู้เขียนยังเป็นเด็กหญิงวัยหกเจ็ดขวบ ใส่เอี๊ยมไปนั่งรอแม่ผู้เป็นครูสอนเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์เด็กชายแห่งหนึ่ง บริเวณที่นั่งรออยู่ริมบ่อเล็กๆ มีก้อนหินวางเรียงรายโดยรอบ การรอคอยเหมือนกับว่าไม่มีทางจะสิ้นสุดลงไปง่ายๆ กระทั่งสายตาของเด็กน้อยได้มองผ่านผิวน้ำลงไปในบ่อ เห็นลึกลงไปในรายละเอียด ตะไคร่น้ำ ไข่ของแมลง และสัตว์น้ำเล็กๆ พวกมันบางตัวก็ดูเป็นเยลลี่สีใส ที่ลอยละล่องอยู่ มันแบ่งแยกจากน้ำที่ล้อมรอบมันไว้ก็ตรงผิวเยื่อบางๆ ที่ห่อหุ้ม กำหนดขอบเขตของตัวมันเอง เยลลี่ใสบางก้อนกำลังปรับรูปร่างของมันให้เคลื่อนที่หรือหยุดนิ่งอยู่กับสภาวะรอบๆ ตัว แมลงน้ำตัวหนึ่งเกาะอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่มีตะไคร่เขียว ดูประหนึ่งกวางที่อยู่ในทุ่งหญ้า<br /><br /> ฉับพลันทันทีนั้น เด็กน้อยก็แว้บ!! เห็นภาพตัวเองที่กำลังนั่งสังเกตบ่อน้ำนั้นเป็นประหนึ่งสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในบ่อ หรือโลกทั้งใบอันใหญ่โตนี้จะเป็นเพียงหินก้อนหนึ่ง เธอสะดุ้ง!! จนต้องละสายตาจากบ่อน้อย เงยหน้า ขึ้นมองท้องฟ้า เผื่อว่าจะได้สบสายตากับใคร หรืออะไรก็ไม่รู้ที่เธอรู้สึกว่ากำลังเฝ้าสังเกตเธออยู่เช่นกัน เธอรู้ตัว ณ ขณะนั้นว่า <span style="font-weight:bold;">เธอไม่ได้เป็นแค่เพียงผู้สังเกต หากเธอเป็นผู้ถูกสังเกตพร้อมๆ กันไปด้วย ไม่มีความเหงา เปลี่ยว เดียวดาย ดำรงอยู่อีกต่อไป</span><br /><br /> ผู้เขียน ณ ปัจจุบันขณะนี้ ก็เป็นผู้สังเกตอีกคนหนึ่งที่ย้อนเวลากลับเข้าสู่สภาวะนั้นได้เสมอ การรอคอยอันเป็นนิรันดรได้สิ้นสุดลงแล้ว เด็กหญิงสบตากับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เธอก็สบสายตากับตัวเอง และผู้เฝ้ามอง ซ้อนๆ กันไปอีกหลายชั้น<br /><br /> แล้วคุณผู้อ่านล่ะ มีหรือเปล่า ในวันฟ้าใสๆ จิตใจสงบนิ่ง แล้วต่อหน้าต่อตาคุณสิ่งที่เคยเห็นว่าเรียบง่ายธรรมดา เช่น ต้นไม้สักต้น สายธารสักแห่ง ก้อนหินสักก้อน ฉับพลันก็เกิดมีความงามที่ไม่ธรรมดาปรากฏขึ้น <span style="font-weight:bold;">ณ ห้วงขณะนั้น ฉัน เธอ และนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ก็หลอมรวมดวงใจเข้าด้วยกัน ความสามารถอย่างใหม่ก่อเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็คือ เราสามารถ “เห็น” ตัวเราในสายตาของผู้อื่น</span>Unknownnoreply@blogger.com1