โดย ชลลดา ทองทวี เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา
ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๙
---------------------------------------

มีบ่อยครั้งที่เราต้องตกอยู่ในช่วงสภาวะความเศร้าจากการสูญเสียคนที่รัก หรือสภาพจิตในช่วงนี้อาจถูกกดดันจากข่าวภัยธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน เกิดวิกฤติเป็นวงกว้าง แม้ว่าจะเกิดขึ้นกับผู้คนที่เราไม่รู้จัก แต่ว่าก็กระทบใจเราอย่างรุนแรงได้

เรามีทางออกหลายทางสำหรับความเศร้าและความกดดันแบบนั้น อาจจะเริ่มต้นด้วยการร้องไห้.. เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าเสียใจ เราอาจจะดึงตัวเองขึ้นด้วยการไปปฏิบัติธรรม หรือว่าหากิจกรรมที่จะทำให้จิตใจเบิกบานขึ้นบ้าง เช่น พูดคุยปรับทุกข์กับเพื่อน ดูหนัง ฟังเพลง เพื่อให้บรรเทาความเศร้านั้น หรือลืมๆ มันไป

ผู้เขียนได้เรียนถามผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งว่า ท่านกังวลใจกับสภาวะวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่ทวีขึ้นในช่วงนี้หรือไม่ ท่านชวนให้คิดถึงทฤษฎีไร้ระเบียบ (Chaos Theory) ว่ามันเป็นวัฏฏะของวิวัฒนาการของธรรมชาติ มีสภาวะที่เสถียร แล้วก็มีสภาวะที่จะต้องเป็นกลียุคอยู่บ้าง เพื่อล้างเปลี่ยนระบบให้มันวิวัฒน์ขึ้นไปอีก

วิกฤติใดๆ ที่เกิดขึ้น บอกให้รู้ในตัวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง และโดยธรรมชาติของโลกแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อปรับตัวเองให้อยู่ในสมดุลมากขึ้น เป็นการสร้างสรรค์ ไม่ใช่ทำลาย

ฟังท่านแล้วก็ย้อนมามองทบทวนปัญหาของตัวเอง มันยากมากที่จะทำใจให้คิดว่า การเสียชีวิตของญาติผู้ใหญ่ที่เรารักใคร่ผูกพัน การจากไปของเพื่อนสนิท สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสร้างสรรค์ ในวันแรก เราคงไม่แคล้วเริ่มด้วยการร้องไห้ อาลัยต่อมิตรภาพความสัมพันธ์ที่ไม่ได้พบเจอกันอีกต่อไป ในวันต่อมา เราอาจจะพยายามดึงตัวเองขึ้นมาอย่างยากเย็นด้วยวิธีการต่างๆ
แต่จริงๆ แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นไปตามกาลเวลา และเหตุปัจจัยหลายอย่าง ถ้าเวลาผ่านไปสักพัก เมื่อเราได้ทบทวนมันอย่างจริงจัง ก็จะเห็นว่าแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่เกิดไม่ได้ มันต้องเป็นไปอย่างนั้น.. เพราะว่าถึงเวลาของมัน และมันดีที่สุดสำหรับทุกๆ คน

เรื่องนี้คือการมองเรื่องเดิมในมุมใหม่ มุมแรกมีเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ทำไมคุณพ่อต้องจากเราไป ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเราสังเกตให้ดี จะมี “เรา” เป็นกรรมของประโยคทั้งนั้น เป็นการมองในฐานะผู้ถูกกระทำในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และขณะนั้นดูเหมือนว่าโลกจะหมุนรอบตัวเรา และในความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเรา โลกก็ดูจะหยุดหมุนด้วย
แต่เมื่อมองมุมใหม่ เอาธรรมชาติและจักรวาลเป็นที่ตั้ง คุณพ่อก็อายุมากแล้ว สุขภาพท่านก็ไม่ดี การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การสูญสลายของร่างกายของท่าน คงมีเหตุผลที่ดี อย่างน้อยก็อาจจะสำหรับตัวท่านเอง แต่การเดินทางของท่านยังคงมีอยู่ต่อไป และเป็นการเดินทางที่ดีกว่าเดิม เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น

หรือการจากไปของเพื่อนสนิท เป็นเพราะโลกมันยังหมุนอยู่ และไม่ได้หมุนรอบตัวเราอย่างที่เราคิด แต่หมุนรอบตัวเขาด้วย คงมีเหตุปัจจัยที่ดีมากมายทีเดียว ที่ทำให้เขาไม่สามารถจะอยู่ที่เดิมและเป็นเพื่อนของเราต่อไปได้ แต่ต้องเดินทางเพื่อชีวิตที่เปลี่ยนไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางที่ดีขึ้นสำหรับเขา

ตัวอย่างอีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ ฉากกั้นห้องซึ่งตั้งอยู่ข้างโทรทัศน์ล้มลงไปโดนโทรทัศน์แล้วโทรทัศน์ก็ตกหล่นลงบนพื้น แถมซ้ำวันเดียวกันนั้นท่อน้ำในห้องน้ำก็รั่ว และรถก็เสีย

ถ้าคิดในกรอบเดิมๆ เราอาจจะคิดว่า แย่จัง ช่างเป็นวันที่เลวร้าย หรืออย่างดีก็อาจคิดชุดคำพูดต่างๆ มาช่วยให้รู้สึกดีขึ้น เช่น “มันต้องทำใจ” หรือว่า “เสียก็ซ่อมสิ”

วิธีคิดเหล่านี้ยังเป็นการเอาตัวเราเองเป็นศูนย์กลางเป็นกรรมของปัญหาอยู่ดี.. แต่ถ้าเราลองให้โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์เหมือนเดิมดูบ้าง ก็อาจจะพบว่าจริงๆ แล้ว เราวางฉากกั้นห้องไว้ใกล้โทรทัศน์เกินไปมานานแล้ว เพียงเพราะว่ามันตั้งอยู่ตรงนั้นแล้วสวยดี แต่ฉากที่วางอยู่บนพื้นโดยไม่มีอะไรค้ำยัน ก็มีสิทธิที่จะล้มไปทางไหนก็ได้ ตามกฎของแรงโน้มถ่วงของธรรมชาติ และบังเอิญวันนั้นมันล้มไปในทางทิศนั้น บังเอิญมีวัตถุที่เป็นโทรทัศน์ตั้งอยู่ ถ้ามันเป็นก้อนหินก็คงจะไม่ต่างอะไรกัน ดังนั้น โทรทัศน์ก็จะต้องหล่นลงไปบนพื้น ตามแรงโน้มถ่วงต่อไปด้วย เป็นเรื่องของแรงและการตกกระทบ ที่ส่งผลต่อๆ กันไป เป็นสิ่งธรรมดาของจักรวาลมากๆ

ไม่ได้เกิดขึ้นกับเราคนเดียว และไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอย่างที่เราคิด..

ทฤษฎีไร้ระเบียบบอกว่า จักรวาลมีความไร้ระเบียบ (chaos) เป็นฐาน แปลความหมายได้ว่า โดยแท้จริงแล้วการพยายามจัดให้ทุกสิ่ง อยู่ในระบบระเบียบตลอดเวลาออกจะเป็นการฝืนความธรรมดาของธรรมชาติ จริงๆ วันนั้น ที่โทรทัศน์หล่นลงไปและท่อน้ำในห้องน้ำรั่ว พร้อมกับที่รถเสีย แผ่นดินอาจจะไหวขึ้นมาด้วย และมีอะไรที่วุ่นวายกว่านั้นเกิดขึ้นได้อีกมาก เป็นเรื่องปกติ ที่ควรจะคาดคิดเอาไว้ได้

และไม่ใช่เรื่องย่ำแย่เสียหายอะไร ถ้ามองในมุมมองของโลกที่อาจจะขยับตัวบ้าง เคลื่อนไหวบ้าง

นั่งทบทวนดูแล้ว การมองโลกโดยเห็นการเปลี่ยนแปลงอนิจจังเป็นฐาน เป็นปกติธรรมดา และเห็นความสงบนิ่งเป็นระบบระเบียบ เป็นเรื่องชั่วคราวและไม่ปกติธรรมดา มันทำให้มองโลกได้เปลี่ยนไปมากมายจริงๆ เราจะเปิดรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่เป็นพลวัตได้อย่างเข้าใจและยินดีมากขึ้น พยายามเหนี่ยวรั้งให้ทุกสิ่งเสถียรอยู่ตามที่ใจเราปรารถนาน้อยลง และเป็นทุกข์น้อยลงด้วยเหตุนั้น เพราะการพยายามฝืนธรรมชาติ ธรรมดา จะเหนื่อยมากกว่ามาก เหมือนพายเรือขวางกระแสน้ำที่ไหล

เราปล่อยเรือชีวิตของเราให้สนุกไปกับการไหลเลื่อนเคลื่อนที่ของกระแสธรรมชาติ น้อมใจให้สิ่งต่างๆ ได้สร้างสรรค์เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย แม้ว่าในมุมมองที่เรายืนอยู่จะมีแต่การสูญเสีย ในอีกมุมหนึ่งของจักรวาล น่าจะมีแต่การเติมเต็มขึ้น เป็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญ

วันที่เคยเป็นวันแห่งความโศกเศร้า ไว้อาลัย.. อาจจะเปลี่ยนเป็นวันแห่งความสุขในความสมดุลที่ไม่รู้จบของจักรวาล ได้บ้างกระมัง

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home