โดย จิรัฐกาล พงศ์ภคเธียร
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๐
เมื่อผู้เขียนยังเล็ก คุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นนักดูหนังตัวยง เมื่อมีโอกาสก็มักจะหอบลูกๆ เข้าโรงหนังเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีหนังดีๆ เข้า เรายิ่งไม่ยอมพลาด ผู้เขียนจึงได้เรียนรู้เรื่องราวดีๆ มีมุมมองใหม่ๆ ต่อโลกและชีวิตจากหนังหลายๆ เรื่องที่เคยดูมา มีอยู่เรื่องหนึ่งที่จำได้ไม่รู้ลืมและถ้ามีโอกาสก็อยากหาแผ่นมาดูอีกสักครั้ง หนังเรื่องนั้นมีชื่อว่า The Lost Horizon ที่แปลเป็นไทยว่า “รักสุดขอบฟ้า” ท่านที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกันน่าจะพอจำได้ เป็นเรื่องราวของนักบินที่เครื่องบินตกและหลงเข้าไปในดินแดนที่สวยงามราวกับสวรรค์ชื่อว่า “แชงกรีลา” เป็นดินแดนลี้ลับอยู่ท่ามกลางยอดเขาสูง มีหิมะขาวปกคลุม ผู้คนล้วนจิตใจดี มีความเฉลียวฉลาด ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
ในทิเบตก็มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับอาณาจักรในฝัน ซึ่งเล่าสืบทอดต่อกันมาว่าเป็นสถานที่แห่งสันติสุขและความรุ่งเรืองซ่อนเร้นอยู่อย่างลี้ลับในแถบเทือกเขาหิมาลัย ดินแดนนี้ปกครองโดยผู้ปกครองผู้ทรงสติปัญญาและการุณย์ อาณาประชาราษฎร์ต่างพากันปฏิบัติสมาธิภาวนา ทุกคนล้วนเป็นอริยบุคคลที่มีจิตใจสูง อาณาจักรนี้ถูกเรียกขานว่า ชัมบาลา นักวิชาการบางคนพยายามหาข้อมูลสนับสนุนให้ชัดว่าดินแดนนี้เคยมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ของเอเชีย และเป็นแนวคิดที่ตรงกับแชงกรีลาทุกประการ
นอกจากนี้ในศาสนาหลักๆ ของโลกต่างกล่าวถึงดินแดนในฝันที่มีแต่ความสงบสุข มีความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนอยู่ร่วมกันด้วยความรักเมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อย่างเช่นในศาสนาพุทธที่มีคติเรื่องยุคพระศรีอาริย์ว่าเป็นยุคที่โลกไม่มีความทุกข์ ไม่มีการเบียดเบียน มีแต่คนดีและมีแต่ความสะดวกสบาย ในศาสนาฮินดูกล่าวถึงพระนารายณ์อวตารปางที่ 10 เรียก กัลกิอวตาร ซึ่งพรรณนาไว้ว่าเป็นบุรุษขี่ม้าขาว ผู้มาช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปเพื่อความสงบสุข
ในยุคที่บ้านเมืองเกือบจะเรียกได้ว่าเข้าขั้นกลียุคเช่นนี้ ยุคที่แม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ เหตุการณ์ระส่ำระสายทางการเมืองที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ยังไม่รวมภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นรายวัน คงทำให้ผู้คนเริ่มชินชากับ “ความไม่ปกติ” ต่างๆ ที่ถูกทำให้เห็นจนชินตา จนอาจลืมไปแล้วว่าชีวิตที่เป็นปกติสุขนั้น ควรมีวิถีเช่นไร ไม่ต้องพูดถึงดินแดนในฝันที่มีแต่ความสงบสุข เพียงแค่หาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันก็ดูจะเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นทุกที
ในระยะหลังนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ในโลก ที่ทวีทั้งความรุนแรงและจำนวนความถี่ที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินไหว โคลนถล่ม จนผู้คนทั่วโลกต้องออกมารณรงค์เรื่องของภาวะโลกร้อนกันนับตั้งแต่ผู้นำประเทศ ดารานักร้อง ไปจนถึงเด็กๆ ตัวเล็กตัวน้อย รายการโทรทัศน์หลายรายการได้เชิญผู้รู้ระดับประเทศมาพูดคุยกันถึงประเด็นนี้ มีสารคดีหลายเรื่องแสดงให้เห็นถึงภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเราทุกที หลายคนคงเคยได้ยินนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของไทย ท่านออกมาพูดหลายครั้งว่า หลังปี ค.ศ.2012 โลกเราจะเต็มไปด้วยความสงบสุข นับดูแล้วก็เหลือเวลาอีกเพียง 5 ปีเท่านั้น ถ้าสิ่งที่ท่านกล่าวไว้เป็นจริงเราก็คงมีโอกาสได้เห็นอาณาจักรในฝันอย่างชัมบาลา หรือแชงกรีลา หรือยุคพระศรีอาริย์ที่จะมาถึงเร็วกว่าที่คิด
แต่นักวิทยาศาสตร์ท่านเดียวกันก็ได้บอกไว้ว่า ก่อนจะถึงเวลานั้น โลกเราจะต้องประสบกับมหันตภัยที่จะนำพาความทุกข์อย่างมากมายมาสู่มวลมนุษย์ เมื่อย้อนระลึกถึงตัวอย่างที่เห็นชัดเจนครั้งเหตุการณ์สึนามิ ก็เห็นแล้วว่าความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาในเวลานั้นมันมากมาย และสะเทือนจิตใจเพียงไร แม้ว่าคนที่ไม่ได้ถูกกระทบจากเหตุการณ์โดยตรงต่างก็พากันตกอยู่ในภาวะเศร้าโศกและหดหู่ใจ สิ่งที่เยียวยาจิตใจของทุกคนในเวลานั้นก็เห็นจะมีแต่พลังแห่งรักของผู้คนที่แผ่ขยายออกไปทั่วทั้งโลก การได้สัมผัสถึงความรักความเมตตาของคนที่มีต่อ “ผู้อื่น” ที่มิใช่ลูก เมีย ญาติ หรือเพื่อนที่มีความเกี่ยวพันกันแต่อย่างใด จะมีก็แต่ความเป็นมนุษย์ร่วมโลกเดียวกัน ที่แตกหน่อออกมาจากโลกใบเดียวกัน ความรักครั้งนั้นแสดงให้เห็นถึงความรักที่ไปพ้นจากความเป็น “ตัวตน” อย่างแท้จริงอันเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ที่แท้ ดุจดังความหวานที่เป็นคุณสมบัติของน้ำตาล หรือเกลือที่มีคุณสมบัติเป็นความเค็ม และความรักเมตตานี้ถือเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของบัณฑิตจิตตปัญญาศึกษา
โดยทั่วไปการที่คนจะรักผู้อื่นได้นั้น ย่อมต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่มีความเป็นตัวเองร่วมอยู่ เช่นเป็นพวกเรา เป็นญาติเรา หรือเป็นผู้ที่มีประโยชน์ร่วมกัน เป็นความรักตัวที่แบ่งภาคออกไปอยู่ในคนเหล่านั้น ศาสนาต่างๆล้วนสอนให้คนมีความรักต่อกันเป็นพื้นฐาน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า การรักผู้อื่นนั้นเป็นหัวใจของทุกศาสนา ศีลหรือข้อปฏิบัติต่างๆ มีไว้เพื่อให้คนรักผู้อื่นใช่หรือไม่ ถ้าคนรักกันก็คงไม่มีใครทำร้ายฆ่าฟันกัน ขโมยของกัน พูดจาว่าร้ายใส่กัน ลองนึกดูเล่นๆ ว่าถ้าในโลกมีแต่ผู้คนที่มีแต่ความรักเมตตาต่อกัน ไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกันโลก เราจะอยู่ในโลกนี้อย่างสุขกายสบายใจเพียงไร
การรักผู้อื่นเป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกปฏิบัติได้ และจะเกิดประโยชน์แก่ตัวเช่นเดียวกับการฝึกปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจด้วยวิธีการอื่นๆ การที่เราขยายจิตใจของตนเองออกไปจนกว้างขวางจนคนอื่นกลายเป็นเรา ไม่มีความแปลกแยก หมดความเป็นผู้อื่น หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ารู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียว เมื่อนั้นเราจะรู้สึกถึงความปลอดภัย ความวางใจ สบายใจ และเหนือสิ่งอื่นใด ผลอันเลิศที่จะเกิดขึ้นต่อมาก็คือ ความเห็นแก่ตัวจะลดลงไปตามสัดส่วน ยิ่งความรักคนอื่นแผ่ขยายกว้างขวางออกไปเท่าใด ตัวตนก็จะยิ่งลดน้อยลงเท่านั้น เมื่อตัวตนลดลงความอยากหาสิ่งต่างๆ ใส่ตน อารมณ์ขุ่นข้องด้วยเรื่องไม่พอใจที่คนอื่นทำกับเราก็จะลดลงไป ชีวิตเราก็จะมีความสุขมากขึ้น
ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากได้โลกที่มีแต่ความสงบสุข โลกที่มีแต่ผู้คนที่มีจิตใจดีงาม แต่ต้องแลกกับการสูญเสียที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมานจนอาจเกินขีดจำกัดที่มนุษย์เราจะทนรับไหว หรือพูดให้ชัดก็คือต้องรอให้มีภัยพิบัติที่หนักหนาเท่าสึนามิ หรือมากกว่าจนเกินจินตนาการที่เราจะคาดเดาได้ แล้วหลังจากนั้นมนุษย์เราจึงค่อยหันมารักกัน ช่วยเหลือเอื้ออาทรกัน มิฉะนั้นเราอาจต้องรับบททดสอบจากธรรมชาติ แถมด้วยการถูกซ้ำเติมจากเพื่อนมนุษย์ผู้ที่ฝึกฝนความเห็นแก่ตัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่กล้าคิดเลยว่าโลกในยามนั้นจะน่าหวาดหวั่นสักเพียงไร
ถ้าเราต้องการให้โลกนี้เป็นโลกพระศรีอาริย์ เป็นอาณาจักรชัมบาลาหรือดินแดนแห่งพันธะสัญญา เราสามารถทำให้เกิดได้ในชั่วพริบตา โดยเริ่มจากตัวเราเอง ลองมาฝึกรักผู้อื่น เริ่มจากคนที่เราไม่เคยนึกรักเขามาก่อนเลย คนที่เดินเข้ามาในเส้นทางชีวิตของเราไม่ว่าเราจะปรารถนาหรือไม่ก็ตาม เมื่อนั้นอาณาจักรแห่งรักก็จะเกิดขึ้นจริงบนพื้นที่ที่ไร้พรมแดน ในใจของเรา
Labels: จิรัฐกาล พงศ์ภคเธียร