โดย ปรีดา เรืองวิชาธร
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๑
เรื่องระหว่างผมกับเพื่อนที่จะเล่าถึงนี้แม้ดูเป็นเรื่องส่วนตัว แต่บางทีอาจไปตรงกับประสบการณ์หรือมีความหมายกับใครบางคนบ้าง ผมเองมีเพื่อนที่สนิทใจน้อยนัก ส่วนคนที่รู้จักกันธรรมดานั้นมีไม่น้อยเลย จำนวนที่มากนั้นจะมีความหมายมากมายกับชีวิตผมก็หาไม่ ยิ่งชีวิตช่วงสี่ถึงห้าปีก่อนหน้านี้รู้สึกมีเรื่องทุกข์ร้อนใจจำต้องเก็บงำไว้ภายในมากมายเหลือเกิน หาที่ทางปรับทุกข์โศกได้ยากเต็มที จะหาใครที่ใจกว้างพอรับฟังเราอย่างลึกซึ้ง เพื่อเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดไม่ว่าร้ายหรือดี เป็นความเปลี่ยวเหงาเดียวดายท่ามกลางสังคมที่พลุกพล่านแต่แฝงด้วยความโดดเดี่ยวแปลกแยก ผมเชื่อว่ามีคนไม่น้อยเลยที่เป็นเช่นเดียวกับผม
แล้วจู่ๆ เมื่อสามปีที่แล้วผมก็พบเพื่อนที่ผมดั้นด้นแสวงหามานาน เป็นการพานพบที่ต้องลงทุนสูงเพราะต้องใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอย่างมากทีเดียวเพื่อเข้าหาเพื่อนคนนี้ ท่านที่ว่านี้รู้จักกันมานานไม่น้อยกว่าสิบแปดปี แต่เพิ่งจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความเป็นเพื่อนกันเมื่อไม่นานมานี้ เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ท่านมีสถานภาพเป็นทั้งเจ้านายสูงสุดในแง่หน้าที่การงาน เป็นครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพศรัทธาในวิถีชีวิตตลอดจนความรู้ความสามารถ เป็นคนที่ผมรู้สึกว่ามีอำนาจมาก แม้วัยก็มากกว่าผมร่วมสี่สิบปี และเป็นเรื่องบังเอิญที่ผมเกิดปีเดียวกันกับลูกชายคนโตของท่าน ในแง่วัยจึงนับเป็นพ่อลูกกันได้เลย ปัจจัยเหล่านี้มันมากพอจะทำให้ผมมีระยะหรือช่องว่างกับท่านห่างกันเป็นโยชน์ และยังเป็นที่มาของความกลัวสารพัดเวลาที่ต้องเข้าใกล้ท่าน ผมไม่เคยนึกภาพออกเลยว่า เราจะเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร เพื่อนที่ผมพูดถึงก็คือ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส. ศิวรักษ์
แต่แล้วมันก็น่าฉงนที่อาจารย์สุลักษณ์กลับออกปากกับผมเพื่อให้มีโอกาสใกล้ชิดมากขึ้น นับเป็นช่วงเวลาที่ได้พูดคุยในเรื่องที่ผมอยากรู้อยากเห็น ได้สารภาพเรื่องราวภายในที่ผมเก็บงำไว้นาน การตอบสนองของอาจารย์ที่ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่คำเตือนสติหรือคำแนะนำ (ซึ่งมีคุณค่ามากมายในตัวอยู่แล้ว) หากแต่อยู่ที่การลดตัวเองลงมาหาเด็กรุ่นหลังอย่างเสมอบ่าเสมอไหล่ ให้เวลาเพื่อรับฟังผมอย่างเต็มที่ (มากพอที่ผมต้องการจะขอพูดคุย ทั้งที่ท่านมีภารกิจมากมายและเป็นคนมีชื่อเสียงที่ใครๆ ต้องการเข้าหา) และรับฟังได้ทั้งเรื่องดีและไม่ดี โดยเฉพาะอาจารย์ใจกว้างมากต่อความผิดพลาดของมนุษย์ ผมรู้สึกได้ว่า อาจารย์เข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผมเกือบทั้งหมด จริงอยู่แม้ว่าคำแนะนำตักเตือนจะมีคุณค่ามหาศาล แต่บางครั้งบางเวลาเรากลับต้องการเพียงการรับฟังรับรู้อย่างเข้าอกเข้าใจเราเท่านั้น
กับอาจารย์สุลักษณ์แม้ว่าโอกาสที่ได้พูดคุยกันจะมีไม่กี่ครั้ง แต่สิ่งสำคัญกลับอยู่ที่คุณภาพของการพูดคุยในแต่ละครั้งต่างหาก ซึ่งคุณภาพที่ว่านี้เป็นคนละเรื่องกับการพยายามสื่อสารกันให้มากเข้าไว้ตามคำโฆษณาสินค้าที่เราได้ยินบ่อยครั้ง โอกาสพูดคุยแต่ละครั้งที่ผ่านไปมันทำให้ผมไว้วางใจที่จะพูดอะไรได้ลึกและกว้างยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กล้าหาญมากขึ้นที่จะซักถามในเรื่องที่ขัดข้อง ในเรื่องที่อยากรู้อยากเห็น และได้รับคำเตือนสติและรับคำแนะนำทั้งในแง่ชีวิตและงาน แถมยังได้รับความชื่นชมยินดีในความก้าวหน้าของผมอีกโสตหนึ่งด้วย นี้แลที่ทำให้ช่องว่างระหว่างผมกับอาจารย์เริ่มหดแคบลง อย่างไรก็ตามความกว้างของช่องว่างก็ยังคงมีอยู่ไม่น้อยแม้ว่าจะลดลงบ้างก็ตาม ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะผมมักจะคิดปรุงแต่งไปเองว่า เวลาคุยกับเราอาจารย์คงรู้สึกไม่สนุกเท่าไรเพราะความรู้และประสบการณ์มันห่างชั้นกันเหลือเกิน แม้ว่าจริงๆ แล้วหลายครั้งอาจารย์รู้สึกพอใจและคุยกับเราอย่างออกรสก็ตาม แต่ผมก็คิดมากและกลัวไปเองอย่างไม่รู้เท่าทันภายในตัวเอง ดังนั้นในแง่นี้ต้นทุนที่ผมต้องจ่ายเพื่อเข้าถึงความเป็นเพื่อนในตัวอาจารย์สุลักษณ์ก็คือ การข้ามพ้นมายาคติที่ผมสร้างและยึดไว้อย่างเหนียวแน่นว่าอาจารย์เป็นใครและผมเป็นใคร
ผมเข้าใจว่า การลดตัวลงมาอย่างเสมอบ่าเสมอไหล่ของอาจารย์สุลักษณ์มันได้ทำให้ความทุกข์ร้อนใจของผมได้หลั่งไหลระบายออกมาเต็มที่ บางจังหวะก็ช่วยกะเทาะเปลือกอันแข็งกระด้างที่ห่อหุ้มปิดบังความสามารถในการตระหนักรู้ชัดถึงจิตใจภายใน อาจารย์จะมีวิธีกระแทกอัตตาของเราทั้งนิ่มนวลและร้อนแรงจนทำให้เราเข้าใจชัดเจนถึงตัวตนแท้ๆ ของเราเอง และนำไปสู่การรู้จักแสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง แม้ศักยภาพที่ซ่อนเร้นภายในก็ถูกกะเทาะให้ปรากฏเห็นแววออกมา เป็นที่ประจักษ์ทั้งแก่ตนเองและคนอื่น ซึ่งหลายครั้งเราแทบไม่เคยรู้เท่าทันในกุศโลบายในการกะเทาะเปลือกนั้นเลย วิธีการหนึ่งที่ผมชอบและโดนใจมากก็คือ การพูดท้าทายให้เราเห็นความกะล่อนภายในของเราจนดิ้นไม่หลุดและไม่นานเราก็สามารถรู้เท่าทันและยอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้
จริงอยู่ในหลายครั้งวิธีการกระแทกอัตตาของอาจารย์มักจะมาพร้อมกับความหงุดหงิดโกรธเคืองจนทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดบ้างบางครั้งและขยาดที่จะเข้าหา แต่ในความร้อนแรงนั้นข้างในกลับมีแก่นแท้ของบทเรียนที่เราควรเงี่ยหูและเปิดใจรับฟัง เพราะเมื่อความเจ็บปวดใจจางคลายลงก็กลับพบพลังแห่งความเมตตากรุณาที่อาจารย์หยิบยื่นให้เป็นพื้นอยู่เสมอ ผมจึงค้นพบความจริงข้อหนึ่งว่าบางครั้งเราจำต้องกัดฟันไม่ด่วนสรุปตัดสินง่ายๆ และกล้าพร้อมเผชิญกับรูปเงาะที่น่าเกลียดหรือเปลือกนอกที่ทำให้เราเจ็บปวดใจ ฝึกอดทนอดกลั้นจนสามารถเข้าถึงทองแท้ข้างในของความเป็นเพื่อน ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง ผมเชื่อมั่นว่า เรื่องราวความทุกข์เจ็บปวดของผมนี้ในทางตรงข้าม ย่อมเป็นประโยชน์กับอาจารย์บ้าง อย่างน้อยบางเรื่องที่เป็นความทุกข์ของมนุษย์ทุกยุคสมัยที่ยากจะข้ามพ้นได้ แม้อาจารย์เองก็เถอะ
ผมอยากบอกอย่างมั่นใจว่า ที่คุณภาพของความเป็นเพื่อนเป็นไปอย่างลึกซึ้งกินใจ ทั้งที่มีโอกาสและเวลาไม่มากนัก ก็เพราะว่าอาจารย์ให้ความสำคัญกับผมอย่างจริงใจ และผมรับรู้ถึงคุณค่าที่ได้รับนี้ ดังนั้นในกรณีของผม เวลาที่มากมายจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ การให้ความสำคัญและลดตัวเองลงมาทำให้ผมรู้สึกเคารพตัวเองได้มากขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าความหมายต่อผู้อื่นในแง่ที่จะนำเอาสิ่งที่เปลี่ยนแปลงภายในไปแบ่งปันหรือทำประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป อีกด้านหนึ่งผมตระหนักดีว่า การลดตัวเองและให้ความสำคัญกับเราอาจจะขาดๆ หายๆ หรือขึ้นๆ ลงๆ คงไม่เป็นไปดังนี้ทุกช่วงเวลาซึ่งต้องคอยเตือนตนเองอยู่เสมอว่าไม่ควรไปหลงยึดมั่นผูกติดอาจารย์ไว้กับเราตลอดเวลา
ดังที่ผมบอกในตอนต้นแล้วว่า การพบพานเพื่อนอย่างอาจารย์สุลักษณ์นี้ต้องลงทุนสูงมาก ผมต้องใช้ความกล้าหาญมากทีเดียวที่จะเอาชนะกำแพงที่บดบังความเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็น สถานภาพที่ผมหลงยึดมั่นถือมั่นว่าอาจารย์อยู่สูงและไกลเกินที่จะเข้าถึง ภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยอำนาจซึ่งทำให้ผมและหลายคนเกิดความกลัวเป็นเจ้าเรือน การหลงเข้าใจไปเองว่าอาจารย์มีภาระมากมายคงไม่อยากเสียเวลากับคนเล็กน้อยอย่างเราหรอก รวมถึงเวลาที่ดูยุ่งเหยิงพันตูกับการทำงานของผมเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความไม่กล้าเสี่ยงที่จะไว้วางใจคนอื่นก่อนเพื่อเป็นต้นทางของการแสวงหาความเป็นเพื่อน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคขัดขวางการก้าวข้ามพรมแดนเพื่อเข้าถึงความเป็นเพื่อน ซึ่งเพื่อนในที่นี้มิได้หมายถึงคนวัยเดียวกัน เล่นหัวกันอย่างสนิทใจมานานเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ความเป็นเพื่อนจึงไม่ควรถูกจำกัดด้วยวัย และสถานภาพที่แตกต่างกัน ดังนั้น พ่อแม่กับลูก สามีกับภรรยา พี่กับน้อง เจ้านายกับลูกน้อง คนจนกับคนรวย แม้กระทั่งมิตรกับศัตรู ก็ควรแสวงหาและสร้างสรรค์ความเป็นเพื่อนเพื่อลดความโดดเดี่ยวแปลกแยกและพร้อมที่จะเกื้อกูลการเติบโตภายในให้แก่กันและกันได้
Labels: ปรีดา เรืองวิชาธร
เกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยมากเวลาจะขอคำปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากใคร
ก็พยายามที่จะไม่ไปคิดแทนคนอื่นเขา
พยายามคิดว่าคนอื่นน่าจะยินดีช่วยเหมือนที่ผมอยากช่วยทุกคน
พยายามคิดว่าคนอื่นน่าจะดีใจถ้าผมวางใจที่จะคุยอะไรๆ ด้วยเหมือนที่ผมดีใจเวลามีใครมาคุยอะไรๆ ให้ฟัง
มันไม่ชินเลยจริงๆ เวลาอยากได้ความช่วยเหลือเนี่ย...
ป.ล. ได้เจอเพื่อนดีๆ แบบนี้
ขอแสดงความยินดีด้วยคนครับ :)
กัลยาณมิตรอย่างนี้ บางคนทั้งชาตินี้ จะเจอมั๊ยน๊อ