โดย สมพล ชัยสิริโรจน์
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๑

เมื่อคนเราปักใจว่า “ฉันเป็นคนเช่นนี้” ตามความเคยชินโดยเรียนรู้เอาจากประสบการณ์ในอดีตทั้งที่ถูกใจและไม่ถูกใจ ตัวเอก (primary self) ของเราก็เป็นเช่นนั้น และเมื่อเราปักใจเช่นไร เราก็ถอดทิ้งใจของเราด้านตรงกันข้ามไปให้กลายเป็น ตัวตนที่ถูกทิ้ง (disowned self) เสมอ ๆ

เราสามารถรู้จักว่าตัวเอกของเราเป็นคนเช่นไรได้โดยดูจากตัวตนที่ถูกทิ้งของเราควบคู่กันไป เราจะรู้จักตัวตนที่เราทิ้งไปได้ต่อเมื่อรู้จักสังเกตว่า เราพิพากษาใครต่อใครทั้งทางลบหรือทางบวกอย่างรุนแรง เรามีใจปฏิพัทธ์หรือปฏิปักษ์กับใครอย่างชัดเจนอยู่ในเนื้อในตัวเราอย่างไร คนที่เราพิพากษาหรือมีปฏิกิริยาด้วยนั้นต่างก็มีบุคลิกและคุณสมบัติของตัวตนที่ถูกทิ้งของเราอยู่อย่างแนบเนียน ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ เห็นคล้อยตามหรือไม่ก็ตาม ทั้งเราทั้งเขาต่างเป็น “คนละคู่เดียวกัน” อย่างแยกกันไม่ออก เหมือนสองด้านของเหรียญเดียวกัน

สำหรับคนที่ปักใจว่า คนเราต้องรู้จักปล่อยวาง ไม่ควรยึดถืออะไรต่อมิอะไรมาเป็นของเรา ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ชื่อเสียงหรือการยกย่อง ย่อมมองเห็นคนที่ปรารถนาไขว่คว้า และพยายามอย่างยิ่งให้ได้มาในสิ่งที่ตนกำลังละวางนั้นช่างเป็นคน”ละโมบ” กอบโกยเอาเสียเลย เมื่อเราตัดสินว่าเขาเป็นคน “ละโมบ” ก็เหมือนเข็มทิศชี้ทางบอกว่า เรากำลังละโมบไม่เป็นเสียแล้วก็เป็นได้

เป็นไปได้ไหมว่า คุณ “ละวาง” ปักใจว่า คนเราต้องไม่อยากครอบครอง ด้วยภูมิหลังเจ็บปวดหรืออับอาย เห็นใครที่ใกล้ชิดเป็นทุกข์ และ/ หรือทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ด้วยอาการอยากมีอยากเป็นเจ้าของ อดีตที่คุณ “ละวาง” เห็นใครต่อใครที่เป็นคุณ “ละโมบ” เป็นเดือดเป็นร้อน คุณ “ละวาง” จึงอัปเปหิคุณ “ละโมบ” ออกจากชีวิตไปเลย และทนไม่ได้นัก เมื่อเห็นใครอีกสักคนหรือหลายๆ คน เดินเข้ามาเป็น คุณ “ละโมบ” ต่อหน้าต่อตาเราอีกครั้ง

อะไรคือด้านคู่ขนานกับการละโมบ คนละโมบหรือคนมักได้เอาประโยชน์ตนเป็นหลักนั้น คงไม่เดินไปทักทายใครต่อใครแล้วแนะนำตัวว่า “สวัสดีครับ ผมชื่อ คุณละโมบ” หากใครหาว่าเขาเป็นคนละโมบ เขาคงบอกว่า ผมไม่ได้ละโมบหรอก ผม “เอา” ตามสิทธิของผม ตามศักยภาพของผม ผมรู้จักยืนยันที่จะได้มีในสิ่งที่ผมต้องการ

ถ้าเป็นทุนนิยมก็จะมีเสียงเสริมคุณละโมบอยู่ในใจลึกๆ ว่า มือใครยาวสาวได้สาวเอา ถ้าเป็นศักดินาก็จะมีเสียงเชียร์อยู่ในใจว่า ใครฐานะดีกว่าใหญ่กว่าก็ได้เปรียบ ถ้าเป็นวงนิยมองค์ความรู้ ย่อมมีเสียงเชียร์ว่า “ผมลึกซึ้งกว่า” ย่อมมีสิทธิกว่า ในแต่ละคนในแต่ละวงการต่างก็มีเสียงด้านในที่ยืนยันโอกาสและสิทธิต่างกัน และเมื่อมองจากคนที่มีตัวเอกเป็น คุณ “ละวาง” พวกนักรักษาสิทธิ หรือคุณ “สิทธิรักษ์” นี้เป็นฝาแฝดกับคุณ “ละโมบ” ก็ว่าได้

แล้วเมื่อคุณ “ละโมบ” หันมามองคนที่ชอบละวางที่มักจะพูดว่า “ที่ทำอยู่นี้ไม่ได้ทำด้วยความ ‘อยาก’ เลย ไม่ได้ทำเพื่อ ‘ตัวเอง’ เลย” อีกทั้งกล่าวบ่อยๆ ว่า “ชีวิตนี้ไม่เอาอะไรอีกแล้ว ปล่อยเขา ให้เขาไปเถอะ เพื่อความสบายใจ (ของใคร)” และคุณ “ละวาง” ก็ให้ใครต่อใครก้าวล่วงสิทธิของตนเอง อีกทั้งเข้ามาก้าวก่ายชีวิตของตน และทำตัวเป็นสุขใจ ในความละวางของตน คุณ “ละโมบ” อาจคิดว่าแท้จริงแล้ว “คุณละวาง” นั้นยอมจำนนอยู่กับอาการละวางด้วย “ไร้หนทาง” ก็เป็นได้

หากตั้งคำถามว่า จะมีใคร “ละวาง” ได้เช่นนี้หรือ ยังไม่เป็นประเด็นเท่ากับว่าจะมีใครยอมเสียสิทธิของตนในทุกสถานการณ์หรือ และหากจะเป็นเช่นนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมว่า คนที่มีตัวเอกเป็นคุณ “ละวาง” นั้นทำตัวห่างไกลจากการรักษาสิทธิของตน รักษาความรู้สึกนึกคิดของตน เห็นคุณค่าของการ “พลี” ชีวิต และ “เสียสละ” ให้ผู้อื่น รวมทั้งเคยเห็นโทษอย่างรุนแรงของตนหรือคนอื่นที่ “เคย” รักษาสิทธิ และเรียกร้องปกป้องตนเอง จนคุณ “ละวาง” ต้องเนรเทศ คุณ “สิทธิรักษ์” ออกจากชีวิต และทนไม่ได้เมื่อเห็นใครๆ ที่เขา “สามารถ” รักษา เรียกร้อง ยืนยันสิทธิของตัวเขาเอง

มีใคร “ละวาง” และ “ละโมบ” ได้อย่างแท้จริง ไม่มีอะไรปนเปื้อนเลยหรือ หากคุณ “ละโมบ” เป็นตัวเอก และทิ้ง คุณ “ละวาง” ไป คุณ “ละวาง” ก็หาทางกลับมามีบทบาทกับคุณ “ละโมบ” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในคนที่คุณ “ละโมบ” รัก ในชีวิตรอบข้างที่เรียกร้องให้คุณ “ละโมบ” รู้จักถอยบ้าง รู้จัก “ให้” บ้าง และถ้าเสียงเรียกร้องเหล่านี้ไม่ดังพอให้คุณ “ละโมบ” ได้ยิน เสียงเรียกร้องให้คุณ “ละโมบ” รู้จักดูแลสุขภาพก็จะดังขึ้น และเสียงที่อาจจะช่วยให้คุณ “ละโมบ” เริ่มรู้จักคุณ “ละวาง” อีกครั้ง ก็อาจจะมาจากเสียงของคุณ “โคตร ละโมบ” ที่กระทำต่อคุณ “ละโมบ” จนคุณละโมบต้องเอ่ยปากกับคุณโคตรละโมบว่า “รู้จักปล่อยวางเสียมั่งได้ไหมคุณ”

คุณ “ละวาง” ก็เช่นกัน หากไม่รู้จักรักษาสิทธิและปกป้องขอบเขตที่ตนครอบครอง ก็จะเจอคนที่ “ละโมบ” ให้กวนใจ เสียอารมณ์และเสียข้าวของอยู่เนืองๆ จนต้องลุกขึ้นมารู้จักคุณ”สิทธิรักษ์”ในที่สุด แต่ที่น่าสนใจกว่านี้ คุณที่ประกาศจุดยืน เป็นคุณ “ละวาง” นี้ เมื่อคิดจะเรียกร้องสิทธิของตน ขยายขอบเขตความต้องการของตน มักจะทำได้รุนแรง และเสียดแทงจิตใจผู้คนได้ไม่แพ้คุณที่มีตัวเอกเป็นคุณ “ละโมบ” เลย เป็นได้อย่างไร

เป็นได้ด้วยเพราะตัวตนที่ทิ้งไปของเรานั้น เขาต้องการเหลือเกินที่จะกลับคืนมาในชีวิตเรา และหากเราไม่รู้จักนำกลับมาอย่างเหมาะสม เขาก็กลับมาอย่างรุนแรง จนตัวเอกเดิมต้องถ่อยร่น และรับมือไม่ได้

ตราบใดที่เราไม่เห็นคุณค่าและพลังของทั้งตัวเอกและตัวที่เราทิ้งไปว่า ต่างเป็นคนละคู่เดียวกัน ไม่มีอะไรให้เราต้องปักใจไว้เพียงด้านเดียว ตราบนั้นเราก็ตกอยู่ในอิทธิพลของตัวตนทั้งคู่อยู่ดีไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

1 Comment:

  1. Halley said...
    Negative feedback control ชัดๆ เลย
    เสียแต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจระบบนี้เท่านั้น...

Post a Comment



Newer Post Older Post Home