โดย กฤตยา ศรีสรรพกิจ
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒


ด้วยความที่เป็นคนสายตาสั้นตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้สั้นมากจนถ้าขาดแว่นก็จะเห็นชัดเพียงไม่เกินช่วงแขนตัวเองเท่านั้น เมื่อเริ่มเกิดอาการมึนๆ เวียนหัวบ่อยๆ จึงมักสงสัยว่าอาจเพราะแว่นที่ใส่อยู่เริ่มไม่พอดีกับสายตาแล้ว เมื่อไปตรวจวัดดูก็เป็นดังคาด สายตาสั้นเพิ่มขึ้นอีกนิด เอียงเพิ่มอีกหน่อย ได้โอกาสตัดแว่นตาใหม่อีกครั้ง คนที่ร้านชี้ให้เห็นว่าแว่นเดิมของเรามีรอยขีดข่วนเยอะและน่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง แว่นใหม่ทำให้เห็นโลกคมชัดขึ้นมาก แต่ด้วยความยังไม่ชินก็ทำให้เวียนหัวขึ้นด้วยในช่วงแรก

แว่นตาก็เหมือนกับความคิด ความเชื่อ ประสบการณ์ต่างๆ ของเราที่เป็นกรอบเป็นตัวกรองในการมองโลก เป็นไปได้ยากมากที่จะบอกว่าเรามองโลกอย่างไม่ตัดสินได้จริงๆ และการตัดสินก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไร กลับเป็นสิ่งมีค่าที่ทำให้เราได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นและเป็นหน้าต่างพาเข้าไปสู่ความต้องการที่แท้จริงของตัวเราได้ นานๆ ทีก็น่าจะได้ลองถอดแว่นตาออกมาดูว่ามันหน้าตาเป็นยังไง มีรอยขีดข่วนอะไรที่เป็นอุปสรรคต่อการรับรู้โลกที่เป็นจริงหรือไม่ และแว่นที่เราใส่เหมาะสมกับตัวเราและการมองโลกของเรา ณ ปัจจุบันนี้แค่ไหน

การตกหลุมรักก็เป็นเหมือนแว่นตาอีกแบบหนึ่งที่มีพลังมหาศาล ทำให้เราเห็นคนบางคนได้ชัดเจนขึ้นอย่างประหลาด เฮเลน ฟิชเชอร์ นักจิตวิทยาผู้ศึกษาเรื่องราวของความรักมาหลายสิบปีบอกว่า เมื่อเรามีความรัก เขาคนนั้นและสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเขาจะมีความหมายใหม่ขึ้นมา ผ้าพันคอหรือแม้แต่แก้วน้ำของเขามีความพิเศษกว่าผ้าผืนอื่นหรือแก้วน้ำใบอื่น โลกเปลี่ยนมาหมุนรอบตัวคนๆ นี้ เหมือนเราใส่แว่นที่ขยายทุกๆ อย่างเกี่ยวกับเขาคนนี้ให้ชัดขึ้น ขณะเดียวกันกลับทำให้สิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้พร่ามัวไป

อีกแง่มุมของความรักที่เฮเลนกล่าวถึงมาจากการศึกษาคลื่นสมองของคนที่กำลังมีความรัก ล้วนสิ่งที่เหมือนกันของรักทั้งที่สมหวังและไม่สมหวังก็คือ อาการตกหลุมรักเป็นอาการเดียวกับการเสพสารเสพติด คือมีความต้องการอย่างรุนแรง มีอารมณ์อ่อนไหวอย่างมากต่อคนๆ นั้น มีความรู้สึกพึ่งพิง และยากมากที่จะควบคุมตัวเองได้ ผู้เขียนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความรู้ใหม่เลย แต่เป็นสิ่งที่เราหลายคนคงเคยสัมผัสมาแล้ว ความรักที่มีพลังงานมหาศาลเพียงพอจะหมุนหรือหยุดโลกได้ล้วนเป็นเรื่องที่มีการกล่าวถึงอย่างไม่รู้เบื่อในทุกวัฒนธรรมตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงทุกวันนี้ และดูเหมือนคนเราส่วนใหญ่ไม่เคยเบื่อหรือเลิกตกหลุมรักได้เลย

อีกมุมมองหนึ่งของความรักจากเพลโตนักปราชญ์ยุคบุกเบิกที่รู้จักกันต่อมาในนิยามของความรักแบบพลาโทนิค (Platonic Love) คือ ความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งทางจิตวิญญาณระหว่างคนสองคน ที่นำพาให้คนทั้งคู่เข้าถึงความงามและความจริงได้ ความงามที่เรามองเห็นในคนรักจะเป็นแรงบันดาลใจและช่วยให้มีเรามีความสามารถในการมองเห็นความงามในสิ่งอื่นๆ ด้วย ไปจนถึงการเห็นคุณค่าของความงามตามที่เป็นอยู่จริง ซึ่งไม่ได้แยกส่วนและไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ไปจนถึงความรักต่อพระเจ้าที่เป็นต้นธารของความงามทั้งปวง

การตกหลุมรักจึงเป็นทั้งแรงบันดาลใจและความท้าทายในการขยายศักยภาพพิเศษนี้ ที่เป็นทั้งพลังทำให้เราไร้ความสามารถในการควบคุมตัวเอง และสามารถเป็นเหมือนพาหนะนำพาให้เราเดินทางไปสู่อีกพื้นที่หนึ่งกับเปิดการรับรู้ที่ลุ่มลึกขึ้นได้

ความรักยังนำพาความรู้สึกเป็นเจ้าของ ความริษยา ความร้อนรนเมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง ไปจนถึงความอาฆาตแค้น ที่ทำให้คนกระทำสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่คาดฝันได้ ความรักมีพลังสร้างสรรค์ และพลังแห่งการทำลายล้างที่รุนแรงไม่แพ้กัน

ทำให้กลับมาสงสัยว่า ความรักที่มีทั้งสุขเหลือล้นและทุกข์ที่ยากจะทานทนนี้น่าจะสามารถเป็นวิถีทางของการเติบโตทางจิตวิญญาณได้ สภาวะของอารมณ์ที่แปรปรวนอย่างรุนแรง ถ้าตามรู้ได้ก็จะเป็นโอกาสในการเรียนรู้ภายในอย่างลึกซึ้ง ได้เห็นตัวเองในสภาวะต่างๆ ที่ขึ้นและลง เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว ได้เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว รับรู้ถึงความไม่เที่ยงของทุกอย่าง ความรู้สึกที่เคยลึกซึ้ง มั่นคง ก็สามารถแปรเปลี่ยนไปได้ ไม่มีอะไรแน่นอน ยั่งยืน และยังความสั่นไหว ความเปราะบางของจิตใจที่เผยออกมาอย่างยากที่จะขัดขืน หากเรากล้าและมีพลังพอที่จะเฝ้ามองปรากฏการณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้นภายใน การตกหลุมรักก็จะเป็นการเดินทางที่ทำให้เราเติบโตภายในได้อย่างรวดเร็วมาก

ความรักช่วยให้เรามีมุมมองของความงาม มองเห็นคุณค่าของคนๆ หนึ่งและสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับเขาได้อย่างลึกซึ้ง ถ้าเราสามารถขยายมุมมองนี้ ขยายความอ่อนโยนความใส่ใจ ใช้แว่นอันเดียวกันนี้มองโลกทั้งใบในแบบเดียวกันนี้ ... เห็นความงามทั้งปวงจากทุกสิ่งและทุกคน มันจะน่ามหัศจรรย์แค่ไหน แต่ก็พึงระวังไว้ด้วยว่ามุมมองขยายนี้ก็มักจะมาพร้อมความลำเอียง เพราะเมื่อเริ่มรักก็มักจะมองเห็นคนนั้นดีไปหมด จนมองข้ามบางมุมไป เหมือนคนตาบอดสีที่เห็นบางสีคลาดเคลื่อน และบางสีเราก็มองไม่เห็นไปเลย การมองเห็นคนที่เรารักอย่างที่เขาเป็นจริงทั้งหมด ทั้งในแง่มุมที่งดงามและมุมที่ไม่น่ารักเท่าไหร่ สามารถเห็นแง่งามจากการเป็นตัวตนที่แท้จริงทั้งหมดของเขาและยังรักเขาได้ นั่นจึงจะเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขอย่างแท้จริง

ความรักยังทำให้เราทำในสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้ เข้าถึงความรู้สึกแบบที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ในตัว เปิดให้เห็นศักยภาพภายในที่ไม่เคยคิดว่ามี ขยายพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ของตัวเราอย่างไร้ที่สิ้นสุด

หลายคนพูดถึงการพบเจอคนที่รู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่แรกเห็น เหมือนรู้จักกันมาก่อน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และน่าประหลาดที่คนสองคนสามารถมีช่องสัญญาณพิเศษที่เชื่อมต่อกันได้จนเส้นแบ่งระหว่างคนแทบจะจางหายไป ความรู้สึกที่ไร้การแบ่งแยกระหว่างตัวเรากับคนอื่น

ความรักจึงเป็นเหมือนการเดินบนคมมีด ทั้งท้าทายและน่าตื่นเต้น หากพลั้งเผลอแม้เพียงนิดก็ทำร้ายทั้งตัวเองและผู้อื่นอย่างมากมายจนอาจจะเกินเยียวยาได้เช่นกัน เป็นบททดสอบที่ท้าทายพลังแห่งสติของนักเดินทางผู้นั้นอย่างถึงที่สุด

ความรักจึงเป็นทั้งโจทย์ที่ทรงพลังในการนำพาไปสู่การเข้าใจตัวเอง เข้าถึงความสุข ความงาม และความจริงได้ ... หากเรามีพลังแห่งสติและความมุ่งมั่นในการเดินทางสู่การตื่นรู้

การตกหลุมรักเป็นการท้าทาย เรียกร้องทั้งความกล้าหาญ และความอ่อนน้อม ศิโรราบ เพราะในการเดินทางนี้ พลังนี้อาจจะเป็นสิ่งที่คุณควบคุมได้ หรืออาจโดนควบคุมอย่างเกินความสามารถที่จะขัดขืน

และสุดท้าย ... ไม่ว่าจะวิเคราะห์อย่างไร เรื่องของใจก็น่าจะต้องใช้ใจนำทาง ด้วยความเชื่อมั่น ศรัทธาและไว้วางใจในศักยภาพภายของคนเราในการรัก และได้รับความรักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และแม้จะเจ็บปวดเพียงใดคนเราก็ยังคงเลือก ... ที่จะรัก

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home