โดย ชลลดา ทองทวี
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒


วันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่เพื่อนบางคนบอกเล่าให้ฟังถึงความสุขภายในที่น่าอิจฉา เรื่องราวของการได้พักผ่อนอย่างสงบเรียบง่าย หรือปฏิบัติภาวนากับครอบครัว เป็นความสุขที่หลายคนรวมทั้งตัวผู้เขียนเองโหยหาจะได้พบเจอในช่วงวันหยุด ซึ่งน่าจะเป็นช่วงพักจากความวุ่นวายโกลาหลของสังคมปัจจุบันที่เราต้องเผชิญกันทุกเมื่อเชื่อวันมาตลอดทั้งปี

บังเอิญที่บ้านคุณแม่ของผู้เขียนเป็นบ้านไร่บนภูเขาในอำเภอเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงปีใหม่ รถราจึงวิ่งกันขวักไขว่เต็มถนน ร้านกาแฟเล็กๆ ตามปรกติเป็นมุมสงบที่ผู้เขียนโปรดปรานกลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมาถ่ายรูป เก็บภาพวิวภูเขาและดอกไม้สวยงามซึ่งเป็นจุดเด่นของร้าน

เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้บ้านซึ่งคุ้นเคยกันดี ไม่มีเวลากระทั่งจะยิ้มทักทายกัน “ไม่ได้นั่งเลยมาตั้งแต่เช้า เป็นอย่างนี้มาสามวันแล้ว” คุณป้าเจ้าของร้านบอก เลยไม่แน่ใจว่าจะดีใจด้วยดีไหมที่ขายดี ทุกคนในร้านดูวุ่นวายและเครียดจนเกินขอบเขตของคำว่าความสบายๆ ผ่อนคลาย และความสุขใจ ไปเยอะทีเดียว

คุณแม่ฝากไปซื้อปลาทูให้แมวที่ตลาดสดเล็กๆ ในตัวอำเภอ แต่งานเทศกาลฤดูหนาวในที่ว่าการอำเภอข้างตลาดสดมีผู้คนมาเที่ยวกันคับคั่งเสียจนต้องจอดรถห่างตลาดเกือบกิโลเมตร กว่าจะหอบถุงปลาทูถึงรถได้ เล่นเอาหอบแดดและกล้ามขึ้นกันทีเดียว คนเยอะจนดูจะเกินสนุก ผู้เขียนไม่ค่อยแน่ใจว่านักท่องเที่ยวที่มาจะเห็นอำเภอกลางหุบเขาแห่งนี้สวยงามอย่างที่เคยฝันไว้หรือไม่

วันปีใหม่เป็นวันรวมญาติของที่บ้าน เพราะพี่และน้องต่างก็มีงานยุ่งกันตลอดปี ไม่มีเวลาได้หยุดมาพบเจอกันเลย แต่ละคนจึงจัดกระเป๋าพาครอบครัวมากราบคุณแม่เพื่ออวยพรปีใหม่และรับพรจากท่านด้วย บ้านไร่เต็มไปด้วยเสียงของเด็กๆ และการพูดคุยกันตลอดเวลา จนบางขณะโสตประสาทแทบไม่ได้พักผ่อนเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนพลันตระหนักและสัมผัสได้ว่าท่ามกลางความโกลาหลของทุกชีวิตรอบตัวในช่วงปีใหม่นี้ ยังมีความปรารถนาดีของผู้คนแฝงอยู่ด้วย ต่างคนต่างก็อยากมอบความสุขให้แก่กันและกันและให้แก่ตัวเอง ด้วยการพาครอบครัวมาท่องเที่ยวหรือเยี่ยมญาติมิตร จึงต้องเดินทางกันมาไกลกันขนาดนี้ การสัมผัสได้ถึงความงดงามของความพยายามของผู้คนที่อยากมีความสุข ทำให้ผู้เขียนสามารถอดทนต่อเสียงและความแออัดวุ่นวายของสรรพสิ่งรอบตัวได้มากขึ้นมาก

บางขณะกลับเห็นความรู้สึกตัวเองว่าไม่วายอยากพักผ่อนภายใน อยากนั่งสมาธิเงียบๆ บ้าง เพื่อหาความสงบสุข ยิ่งได้ฟังเพื่อนเล่าว่าได้นั่งสมาธิข้ามปีในช่วงนับถอยหลังขึ้นปีใหม่ ยิ่งรู้สึกปรารถนาได้มีโอกาสทำเช่นนั้นบ้างในเทศกาลนี้ แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี

ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ที่บ้านเริ่มคลี่คลายลง พี่และน้องรวมทั้งครอบครัวกลับไปแล้ว งานเทศกาลฤดูหนาวที่อำเภอจบลง และผู้คนทยอยกันเดินทางจากไป เสียงรถราที่วิ่งเต็มถนนราวกับอยู่กลางเมืองหลวง เงียบซาลง สิ่งแรกๆ ที่ผู้เขียนทำคือการเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตูลงและเตรียมตัวนั่งสมาธิ

แต่เมื่อมองลงไปที่เท้าก็เห็นตัวอะไรดำๆ เกาะอยู่ที่ถุงเท้าขาวที่ใส่อยู่ เอามือไปจับดู มันก็กระโดดไปที่อื่น พิจารณาดูให้ดีก็จำได้ว่าเป็นสัตว์ที่คุ้นเคยซึ่งปรกติจะมีมากในหน้าฝน หมัดของหมาๆ ทั้งหลายเริ่มระบาดอีกแล้ว

ผู้เขียนจับหมัดออกจากถุงเท้า ไล่มองดูตามเตียงที่จะนั่งสมาธิ เมื่อเห็นว่าไม่มีอยู่บนเตียงแน่แล้ว ก็เอาขาขึ้นมาขัดสมาธิ ถึงอย่างไรก็จะยังไม่ละความตั้งใจที่จะปฏิบัติภาวนาสักนิดในวันนี้

แต่เมื่อหลับตาลง ใจก็ยังไม่วายผวาไปทุกครั้งที่รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างขยับเคลื่อนไหวอยู่แถวขาหรือเนื้อตัว ในสภาวะที่จิตหมกมุ่นกังวลอยู่กับร่างกาย มันก็ยากที่จะสงบลงได้

ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวราวกับนั่งอยู่ในช่องแข็งตู้เย็น ท้ายที่สุด ผู้เขียนก็เลยล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าทางใจเป็นที่สุด แต่ด้วยความหนาวเย็นต่ำกว่าสิบองศาเซลเซียสทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายจนถึงเช้า

ตลอดทั้งวันต่อมาก็ยังรู้สึกไม่วางใจกับหมัด ต้องใส่รองเท้าบูทยางเดินในบ้าน และก็พบว่าหมัดรุ่นนี้ ไม่ค่อยขยันกระโดดเท่าไร ถ้ากระโดดครั้งแรก ไม่เจอสิ่งที่กินได้ ก็จะไม่ขยับตัวเอาเสียเลย การนั่งอยู่บนเก้าอี้หรือบนเตียง หรือเดินไปเดินมาด้วยรองเท้าบูท จึงยังปลอดภัย

คืนนั้น ผู้เขียนจึงได้หลับตาลงนั่งสมาธิด้วยความรู้สึกสงบขึ้น ความเหนื่อยล้าทางใจและกายจนถึงที่สุดทำให้จิตเข้าสู่สภาวะที่เป็นสมาธิได้โดยง่าย และดูจะไม่ยอมกลับมาจากสภาวะนั้น เพิ่งจะเข้าใจว่าเมื่อถึงที่สุดแล้วจิตมันก็ไม่เอาอะไรกับโลกอีกต่อไปได้เองด้วยเหมือนกัน

ความทุกข์ที่ต่อเนื่องก็เป็นเหตุให้ได้เรียนรู้เข้าใจจิตของตัวเองว่า มันสงบลงได้เองโดยไม่ต้องพยายาม ความสงบภายในเกิดขึ้นเองเมื่อจิตเลิกดิ้นรนใดๆ โดยสิ้นเชิงด้วยตัวของมันเอง

ทำไมเราต้องรอให้โลกสงบลงเสียก่อนเพื่อที่จะมีความสงบใจ เพราะความสงบใจนั้นเป็นของขวัญที่ตัวเราให้ สำหรับหัวใจของเราเองได้ เราไม่ต้องผัดผ่อนเวลาที่จะมีความสุขสงบภายในนั้นออกไปเพียงเพราะโลกภายนอกนั้นไม่เอื้ออำนวย

เมื่อหัวใจของเราทุกข์ยากเหลือเกิน เพราะเสียงวุ่นวายโกลาหล เพราะหมัดกระโดดไปมาน่าหวาดผวา หรือจะเพราะความไม่สงบรอบตัวประการหนึ่งประการใด สิ่งที่เราต้องการที่สุดไม่ใช่การไปดิ้นรนทุกข์ทรมานกับมันต่อไปอย่างไม่รู้จบ ดุจดังไส้เดือนที่ดิ้นทุรนทุรายในกองขี้เถ้าร้อน แต่อาจจะเป็นการหยุดดิ้นรนและนั่งสงบลง แล้วให้ของขวัญที่ตัวเองต้องการคือการหยุดพักลงเสีย

การหยุดที่สำคัญที่สุด คือที่หัวใจตัวเอง เพราะมันใกล้กับความทุกข์ของเราที่สุด

ผู้เขียนยอมจำนนว่าตัวเองไม่ได้มีวันหยุดปีใหม่ที่สวยงามและสงบเบาสบายเหมือนเพื่อน แต่ในท่ามกลางความเหนื่อยยากย่ำแย่เหล่านั้น การได้มาใช้เวลาอยู่กับคุณแม่และครอบครัว และได้เรียนรู้บทเรียนบางอย่างที่สำคัญเกี่ยวกับจิตใจตัวเองก็ทำให้วันปีใหม่นี้เป็นดั่งของขวัญล้ำค่าเกินบรรยายยิ่งนักในตัวมันเองเช่นกัน

1 Comment:

  1. Halley said...
    เห็นชื่อบทความแล้วเดาออกเลยครับว่าใครเขียน :)

Post a Comment



Newer Post Older Post Home