โดย ธนัญธร เปรมใจชื่น
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๐
จินตนาการอันฝันเฟื่องของเรานี้ กำลังถูกระบายไปหลายหลากสี ตามแต่สิ่งที่เราต่างบ่มเพาะและซึมซับ ทั้งโดยรู้ตัวและที่ไม่ทันตั้งตัว ละครที่เราเฝ้าติดตามชม จบไปแล้วหลายเรื่องหลายตอน แต่ใยตัวเรายังคงเล่นบทเก่าเดิมๆ อยู่ทุกวี่วัน บอกตนเองซ้ำๆ ว่าเราเป็นได้แค่นี้ ทำได้เท่านี้ จนกลายเป็นบทสรุปบทบาทชีวิตที่เราหลงเข้าใจไปแล้วว่ามันคือทั้งชีวิตของเรา หรืออีกนัยหนึ่งนั้น เรากลายเป็นผู้ประพันธ์บทที่ขลาดกลัวเกินไปที่จะรังสรรค์บทใหม่ๆ ให้กับตนเอง
ปิดโทรทัศน์ซะ หากมันกำลังทำให้คุณสูญเสียเวลาอันมีค่าในการได้ใคร่ครวญตน หากมันกำลังทำให้คุณเพียงฝันเฟื่องและหลงใหลไปกับบทตอนเหล่านั้น แม้แต่นักแสดงที่คุณคลั่งไคล้ ก็อาจมีชีวิตด้านในที่ไม่แตกต่างจากคุณนัก คือ เล่นไปตามบทที่มี เป็นชีวิตที่ยังคงจมอยู่กับบทเก่าๆ อันซ้ำซาก จนมันกลายเป็นอัตโนมัติของความคุ้นชิน สิ่งต่างๆ ถูกจำกัดไว้ในแบบเดิม กลายเป็นกรอบ เป็นกำแพงของข้อจำกัดมากมายที่เราไม่กล้าก้าวออกไป
จริงอยู่ว่า มันอาจจะง่ายกว่าที่จะเลือกเล่นไปตามบทเดิมๆ ที่บอกป้อนกับตนเองตลอดชีวิตที่ผ่านมา เดินไปตามบทสรุปที่ทั้งเราและสังคมร่วมกันวางข้อกำหนด ลองใคร่ครวญดูหน่อยเป็นไรว่า หากเรายังติดยึดกับกรอบและบทบาทที่เป็นอยู่นี้ร่ำไป ชีวิตเราก็เหมือนติดกับ ขยับเขยื้อนเลื่อนไหลไม่ได้ มีเพียงวิธีคิดชุดเดิม มุมมองต่อโลกรอบตัวในแบบเดิมๆ ให้กับชีวิต หูของเราก็รับรู้เพียงเสียงของสังคมที่กดทับเสียงตัวตนภายในของเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งที่ปัญหาที่ดาหน้าเข้ามาให้เผชิญนั้นก็แตกต่างกันไป ในขณะที่เครื่องมือที่เรามีก็เป็นกรอบคิดเก่าที่จำกัดตัวเองไว้อย่างคับแคบ เสียงตัวตนภายในของเรานี้นับวันก็ยิ่งเบาบางลง เพราะหวาดหวั่นต่อความถูก-ผิด ที่มิได้เกิดจากสำนึกภายในอย่างแท้จริง นี่ยังไม่นับรวมพฤติกรรมอันบิดเบือนที่เรามีต่อโลกรอบตัว ในการสร้างภาพลักษณ์ให้เห็นว่า เราคือความถูกต้องดีงาม จนปิดการรับรู้ความจริงแท้ของตนเองจากโลก
ความถูก-ผิด ที่เราผูกยึดโยงตนกับกรอบคิดอันจำกัดที่มีนี้ ไม่เพียงสะท้อนภาพลักษณ์ที่บิดเบือนแก่ตัวเราเอง แต่ยังนำพาเราให้แลเห็นผู้อื่นเพียงภาพลักษณ์ภายนอก ซึ่งมิอาจบ่งชี้ความจริงแท้ของตัวตนอื่น เราจึงพบแต่ความคับข้องใจ ความไม่สมบูรณ์ในภาพลักษณ์ของผู้อื่นที่แตกต่างไปจากภาพลักษณ์ที่เป็นบทสรุปของชีวิตเรา เราวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิติเตียนผู้อื่น ราวกับภาพลักษณ์ที่เรามีนี้เป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้อง ดีงาม ทั้งที่แท้จริงแล้วเขาอาจแค่ยืนอยู่เหนือขีดจำกัดที่ตัวเรานี้ มิอาจเป็นได้ตามที่ควรจะเป็น เรามักอ้างถึงตัวตน และความเป็นธรรมชาติของตัวเรา แล้วเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า ตัวตนจริงๆ หรือธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเรานี้เป็นอย่างไร? เพราะหากเรารู้จักตัวตนที่จริงแท้ของตนเองแล้ว เราก็น่าจะรับรู้ได้ว่า ... เราเกิดมาทำไม? การเกิดมาของเรานี้มีภารกิจใดต่อโลกบ้าง? อย่างน้อยก็คงไม่ใช่เพื่อมาติดอยู่กับข้อจำกัดมากมาย เวียนว่ายอยู่ในความสุขจอมปลอมที่เราเข้าไปนัวเนียจนตัวเราทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ก็ช่างเวทนาเหลือเกิน ที่เราทำงานอย่างหนัก บ้างก็ทำอย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อจะมีความสุขกับเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลาย และการบันเทิงเริงใจในคืนวันศุกร์และเสาร์ แล้วก็พาตนมาคร่ำเคร่งอีกในสัปดาห์ต่อมา
ทุกวันนี้เราต่างได้รู้จักกระบวนการผลิตละครที่เราดูมากขึ้น เราชื่นชมผู้สร้างสรรค์เหล่านั้นราวกับพวกเขาเป็นบุคคลพิเศษ ที่เกิดมาเพื่อสิ่งเหล่านี้ โดยหลงลืมไปว่า ตัวเรานี้เองก็สามารถปั้นแต่งบทบาทใหม่ให้เกิดขึ้นในชีวิต
หากเราเอาเวลาที่เรามีอยู่น้อยนิดนี้มาใคร่ครวญตน เราอาจจะได้ยินเสียงอันแท้จริงของตัวเรา เสียงของความปรารถนาที่จะมีชีวิตที่สุขสงบโดยมิจำต้องเป็นนักบวชแต่อย่างใด เราอาจได้ยินเสียงความปรารถนาของลูก เสียงของความรักจากผู้เป็นที่รัก (แม้เขาเองก็ยังอยู่ในวังวนแห่งทุกข์) เราน่าจะพบว่าการมีชีวิตที่ดีงามนั้นเรียบง่ายกว่าที่เราพยายามอยู่นี้เหลือคณา
เมื่อดวงตาของเราเปิดกว้างพอ เราจะแลเห็นบทใหม่ ที่จะนำพาตัวเราสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้ และขอให้มอบบทบาทใหม่นั้นแก่ตน ผ่านการใคร่ครวญซ้ำๆ จนมันประทับอยู่ในหัวใจดวงน้อยของเรานี้ จนเราค่อยๆ เปลี่ยน แต่การเปลี่ยนแปลงของเรานี้ภายใต้ร่องชีวิตเดิมๆ ที่เราคุ้นชิน และเล่นกับมันจนเป็นอัตโนมัติ นอกจากเราจะต้องช้าลงแล้ว เราจำต้องสร้างผู้กำกับบทบาทใหม่ให้เกิดขึ้นที่ภายในจิตของเรา ให้ผู้กำกับช่วยดูแลวินัยในการปรับเปลี่ยนตนของเรานี้ ในขณะที่เราเองก็น้อมตนเพื่อจะโลดเต้นไปในบทตอนใหม่ของชีวิต ที่เราเป็นผู้ลิขิตบทบาทนี้แก่ตัวเราเอง เป็นความดีงามที่เราเลือกสรรแก่ตนเอง
ความอัศจรรย์ของชีวิต คือการที่เราได้เป็น ได้ฝัน ได้ลงไม้ลงมือกระทำด้วยตัวเราเอง ได้ร่วมภาคภูมิใจกับชีวิตของตนเอง การเฉลิมฉลองแห่งชีวิตเป็นสิ่งที่พึงกระทำยิ่ง และสามารถทำได้บ่อยครั้ง แม้แต่ยามที่เราอยู่เพียงลำพัง ทั้งนี้การเฉลิมฉลองอาจไม่ได้หมายรวมการเสพอันขาดสติใคร่ครวญ เราอาจจะหลุดจากบทที่เพียรกำกับทันทีทันใดที่เราหลุดจากจิตที่หล่อเลี้ยงสติแห่งการใคร่ครวญ
ครูละครท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า นักละครที่ดีต้องเป็นดั่งดินเหนียวที่พร้อมจะถูกสร้างสรรค์ปั้นแต่งได้ไปตามบท ความยืดหยุ่นของดินเหนียวที่ครูกล่าวถึงนี้ คงมิใช่เพียงกายเท่านั้น แต่อาจหมายรวมถึงจิตใจของเราด้วย ณ ขณะที่ฉันกำกับ ฉันก็พบว่าฉันเองต้องเรียนรู้ร่วมไปกับเด็กๆ ของฉัน เด็กน้อยทั้งหลายที่ดำรงอยู่ภายในของเรานี้
หยุดตัดบทชีวิตของตน ด้วยคำง่ายๆ ที่เราเคยยึดโยงไว้อย่างขาดการตื่นรู้นั่นเสีย และการเปลี่ยนแปลงชีวิตก็ยืนอยู่เหนือข้อจำกัดของวัยและเวลา ยิ่งเราแข็งขืนชีวิตกลับยิ่งยาก ก็ในเมื่อเราเดินตามบทเก่าๆ มาทั้งชีวิต แต่ไม่อาจข้ามผ่านโจทย์ที่มีเข้ามาอย่างหลากหลายในแต่ละวันได้ ทำไมจะไม่ลองสร้างบทใหม่ให้กับชีวิตของตนเองเล่า แล้วเราจะได้เฉลิมฉลองให้กับชีวิตของเราในทุกขณะที่เราดำเนินไป ตลอดจนความหมายใหม่ที่เรามีต่อโลกใบนี้ ที่เราเป็นผู้ค้นพบมันด้วยตัวของเราเอง ... ขอพลังและศรัทธานี้ดำรงอยู่กับหัวใจของเราทุกดวง
Labels: ธนัญธร เปรมใจชื่น