โดย เจนจิรา โลชา
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา ContemplativeEducation@yahoo.com
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๑

เจ้าตัวน้อย ... ลองอยู่นิ่งๆ เงียบๆ แล้วฟังเสียงเจ้าตัวน้อยดูสิ

มีเจ้าตัวน้อยคนหนึ่งอยู่ในร่างกายและจิตใจของเรา เจ้าตัวน้อยนั้นอาจเป็นเราที่เคยทำผิดพลาด เคยเกเร ซุกซน เอาแต่ใจตัวเองในวัยเด็ก เป็นเราที่นั่งเหงาถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว เป็นเราที่เกียจคร้าน เป็นเราที่บ้าทำงานหามรุ่งหามค่ำจนละเลยการดูแลร่างกายตัวเอง อาจเป็นเราที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลพ่อแม่อย่างเพียงพอสมกับที่ท่านเฝ้ารักและเป็นห่วงเป็นใยในตัวเรา เป็นตัวเราที่ทำให้ใครบางคนต้องเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เสียน้ำตาจากคำพูด การกระทำของเรา อาจเป็นตัวเราที่ต้องทำงานอย่างหนัก ดิ้นรนที่จะเอาตัวรอด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในสังคมนี้ หรือว่าเป็นตัวเราที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการที่ถูกคนรอบข้างทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ อาจเป็นเราที่เคยโกรธ เกลียด แค้น อาฆาตพยาบาทผู้อื่น เป็นเราที่ดูแลเอาใจใส่คนอื่น ทำเพื่อคนอื่นจนหลงลืมความฝันและความต้องการของตัวเอง หรืออาจเป็นเราที่ละเลยไม่ดูแล ไม่ให้เวลากับคนที่เรารักและรักเรา อย่างสามี ภรรยา และลูก เจ้าตัวน้อยคนนี้อาจอยู่กับเรามานานตราบเท่าอายุของเรา

เจ้าตัวน้อยคงเคยทำบางสิ่งบางอย่างที่ผิดพลาด พลั้งเผลอไปบ้าง จะเกิดขึ้นทั้งจากความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตามแต่ คงจะทำให้พ่อแม่ ลูก ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน และคนรอบข้างต่างต้องเจ็บปวด ทุกข์ทนจากพฤติกรรมนั้นไม่มากก็น้อย ที่สำคัญความผิดพลาดนั้นได้ทิ้งรอยบาดแผลที่ฝังลึก สร้างความเจ็บปวดในหัวใจของเจ้าตัวน้อยเช่นกัน จนอาจเฝ้าโทษตัวเองหรือไม่สามารถให้อภัยตัวเองที่ทำให้คนรอบข้างต้องทุกข์ทรมานเพราะเรา เจ้าตัวน้อยคงจะเสียใจ ผิดหวัง ร้องไห้ เฝ้ารอการปลอบโยนและโอบกอดจากเรา เจ้าตัวน้อยคงมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่า ระบาย สารภาพให้เราฟัง แต่มีสักกี่ครั้งที่เราจะเงี่ยหูฟังเสียงของเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในใจของเราอย่างแท้จริง

วิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน ผู้คนต่างเร่งรีบ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องดีและเร็ว มุ่งที่จะทะยานไปข้างหน้าโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้าง สนใจแต่วัตถุสิ่งของที่อยู่รายล้อม ความสะดวกสบาย เทคโนโลยี ความก้าวล้ำนำสมัย ที่ทำให้ผู้คนสามารถติดต่อโยงใยกันและกันได้ทั่วทุกมุมโลก แต่กลับทำให้มนุษย์ยิ่งห่างไกลกับตัวเองมากขึ้น ผู้คนพูดคุยกับเพื่อน คนรัก พูดคุยเรื่องการงาน ธุรกิจ ความเป็นไปของสังคม โลกมากกว่าที่จะพูดคุยกับตัวเอง ฟังเสียงข้างในใจเราเอง นั่นอาจจะเป็นเพียงปัจจัยภายนอกที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจสิ่งภายนอกมากกว่าข้างในจิตใจของเราเอง แต่หากลองค้นเข้าไปลึกๆ อาจจะพบว่าผู้คนในสมัยนี้ต่างกลัวที่จะต้องพูดคุยกับตัวเอง กลัวที่จะค้นพบว่าตัวเองทำงานหนักจนลืมดูแลร่างกาย กลัวที่จะพบว่าตัวเองละทิ้ง ไม่ได้ดูแลพ่อแม่ กลัวที่จะบอกว่าเราเองที่เป็นคนทำบางอย่างผิดพลาดไป กลัวที่จะเห็นว่าเราลืมทำตามความฝันของตัวเอง กลัวที่จะพบเจอความทุกข์ กลัวที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงเราเหงาและต้องการใครสักคนมาดูแลชิดใกล้ กลัวที่จะรู้ว่าเราหลงลืมคนที่เรารักและรักเรา เพราะเรากลัว ... กลัวความจริงเหล่านี้

จะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้เราไม่มีโอกาสได้หันมาฟังเสียงข้างในใจของเรา ไม่ได้พูดคุยกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ข้างในตัวเรา นั่นยิ่งส่งผลให้เจ้าตัวน้อยยิ่งหวาดกลัว และหดตัวอยู่แต่ภายในซอกหลืบมุมมืดของหัวใจของเรา เสียงที่แผ่วเบาอยู่แล้ว กลับเงียบเชียบไร้เรี่ยวแรงที่จะส่งเสียงใดๆ เจ้าน้อยตัวกลับยิ่งซุกซ่อนบาดแผลจนทำให้กลายเป็นแผลที่กลัดหนองรอเวลาที่จะแผลงฤทธิ์ความเจ็บปวดขึ้นมา เมื่อโดนสัมผัส สะกิด ทิ่มแทงรอยบาดแผลที่ฝังลึกนั้น ที่สำคัญเจ้าตัวน้อยที่ทุกข์ทน และเจ็บปวดนั้นไม่ได้หายไปไหน แม้เราจะเฝ้าเก็บฝังมันไว้ในที่ๆ ลึกสุดของหัวใจ เพื่อรอให้มันเลือนหายไปกับกาลเวลา แต่เราจะพบว่ามันยังคงอยู่เสมอ เหมือนกับว่ามันกำลังรอให้เราเข้าไปเยียวยา รักษาบาดแผลนั้น คงไม่มีใครจะรักษาบาดแผลให้กับเจ้าตัวน้อยของเราได้ นอกจากตัวเราเอง

ลองให้โอกาสพูดคุยกับเจ้าตัวน้อยสักครั้งบ้างจะดีไหม ลองเชื้อเชิญเปิดพื้นที่ให้เจ้าตัวน้อยได้ออกมาพร่ำบ่น บอกเล่า สารภาพ ลองเงี่ยฟังเสียงข้างในใจของเราบ้าง เผื่อว่าเราอาจจะเข้าใจและยอมรับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในตัวเราได้ง่ายขึ้น เพราะเรากับเจ้าตัวน้อยเป็นหนึ่งเดียวกัน

สิ่งที่เจ้าตัวน้อยต้องการอย่างมากมายคือ การที่เรากลับมาอยู่กับตัวเอง ทบทวน พูดคุยกับตัวเอง ฟังเสียงเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในตัวเราบ่อยๆ พูดคุยถึงเรื่องราวที่เรากับเจ้าตัวน้อยได้ทำร่วมกันมา เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าตัวน้อยบ้าง เจ้าตัวน้อยรู้สึกอย่างไรกับการกระทำของตัวเอง รับฟังเจ้าตัวน้อย เสียงทุกเสียงจากเจ้าตัวน้อยคือเสียงจากภายในใจของเรา เราอาจจะได้ยินเสียงขอโทษจากเจ้าตัวน้อยที่เคยทำอะไรแย่ๆ อย่างที่เราไม่คิดว่าทำไปได้อย่างไรกัน แม้ว่าผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายนั้น อาจเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถยอมรับได้ว่ามันเกิดขึ้นกับเราจริงหรือ เรามักจะปฏิเสธเสียงที่ดังขึ้นนั้น แต่ถ้าเราลองยอมรับฟังเสียงอันแสนแผ่วเบาจากหัวใจ เราจะยอมรับสิ่งที่เจ้าตัวน้อยเป็นได้ง่ายขึ้น ก็เท่ากับว่าเรายอมรับสิ่งที่เราเป็นด้วยเช่นกัน อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น การยอมรับดูคล้ายกับว่าเรากำลังพ่ายแพ้ เป็นคนอ่อนแอ เป็นคนทำผิดพลาด

ขอแค่เพียงเรากล้า กล้าที่จะฟัง ฟังคำสารภาพของเจ้าตัวน้อย กล้าพอที่จะเผชิญหน้ายอมรับ กล้าที่จะพ่ายแพ้และอ่อนแอไปพร้อมๆ กับเจ้าตัวน้อย ยอมรับเพื่อที่จะแก้ไข เริ่มต้นใหม่ นั่นเป็นความกล้า กล้าที่จะซื่อสัตย์กับเสียงภายในใจของตนเอง กล้าที่จะโอบกอดเจ้าตัวน้อยที่อยู่ภายในใจของเรา

โอบกอดเจ้าตัวน้อยของเรา ด้วยการดำรงอยู่ ตระหนักรับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกใดๆ ในจิตใจของเรา โกรธ เกลียด รู้สึกผิด รัก เหงา ชิงชัง เหนื่อยล้า น้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นในทางดีหรือร้าย ขอให้เราอยู่กับความรู้สึกนั้น ฟังเสียงแห่งความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในใจของเรา ฟังเสียงเจ้าตัวน้อยที่พร่ำร้องบอกเรา การตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น รู้ถึงเกิด มี และการไปของอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ในตัวเรา แค่เรารู้ว่ามี ก็เท่ากับว่าความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้นได้รับการเอาใจใส่ การดูแล แล้วอารมณ์ ความรู้สึกนั้นก็จะค่อยๆ จางคลายลง ถ้าเราไม่เคยสัมผัสรับรู้มัน หรือปฏิเสธความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ยอมรับว่าเรามี จะทำให้อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ไม่ได้รับการเยียวยา และมันมักจะกลับมาออกฤทธิ์เดชทำร้ายจิตใจ สร้างความขุ่นหมองในใจของเราอยู่ร่ำไป การโอบกอดเจ้าตัวน้อย จึงเป็นเสมือนการดูแล เยียวยาตัวเอง รักและให้อภัยตัวเอง พร้อมที่จะให้โอกาสตัวเองในการที่จะเริ่มต้นใหม่

เจ้าตัวน้อยอยู่กับเรามานานตั้งแต่เล็กเป็นเด็กน้อยจวบจนเติบโตมาถึงทุกวันนี้ หาเวลาว่าง นั่งนิ่งๆ แล้วทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ใคร่ครวญถึงการกระทำของเราในทุกๆ วัน ให้เวลาเจ้าตัวน้อยในตัวเราวันละนิด ให้เราได้กลับมาดูแลจิตใจวันละหน่อย สัมผัสและรู้จักภายในตัวเองมากขึ้น หากภาระหน้าที่การงานบีบรัดจนเราไม่สามารถพูดคุยสื่อสาร โอบกอดเจ้าตัวน้อยของเราในทุกๆ วันได้ อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เดือนละครั้ง ก็คงจะยังดีกว่าการที่เราหลงลืมว่ายังมีเจ้าตัวน้อยอีกคนในตัวเรา

บางทีเราอาจจะโอบกอด สัมผัสคนอื่นมากกว่าที่จะโอบกอด และสัมผัสเจ้าตัวน้อยในตัวเราเสียอีก มีทางอื่นๆ มากมายที่พาเราหลงวนให้เราหลงลืมตัวเอง แต่ก็เช่นกันที่มีทางที่ทำให้เราเดินกลับมาสัมผัสตัวเองตามที่มันเป็น ลองเดินทางนั้นเพื่อโอบกอบตัวตนและรับฟังด้วยเราเสียบ้าง เพราะเส้นทางนั้นอาจเป็นทางที่ทำให้เราได้ยอมรับตัวตนของตัวเอง ยอมรับเพื่ออยู่และเรียนรู้เติบโตต่อไป

0 Comments:

Post a Comment



Newer Post Older Post Home