โดย ภาณุมาศ จีรภัทร์
เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา
คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๒

“โจทย์ยากๆ ในชีวิตตอนนี้น่ะเหรอ ก็เรื่องตรงหน้านี่แหละ ยากที่สุดเลย” ฉันตอบคำถามที่ถูกโยนเข้ามาเป็นประเด็นสนทนาในงานเลี้ยงครบรอบวันคล้ายวันเกิดของอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งฉันและพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ร่วมกันจัดขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อน เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่พวกเราไม่ได้มาเจอและพูดคุยกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้หลังจากชั้นเรียนวันสุดท้ายสิ้นสุดลง วันนี้จึงเป็นเสมือนอีกวันหนึ่งที่พวกเราจะได้มาทบทวนการเดินทางที่ผ่านมาของแต่ละคน (ผู้คนในชั้นเรียนของฉันมักจะเรียกการเรียนรู้ทั้งในและนอกชั้นเรียน ตลอดจนชีวิตของพวกเราว่าเป็นการเดินทาง) ได้บอกเล่าแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ให้แก่คนอื่นๆ เพื่อเรียนรู้ร่วมกันอีกครั้ง

นึกย้อนไปถึงการเดินทางที่ผ่านมาในชีวิต มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันอยากจะได้ทำ อยากจะได้เรียนรู้ แต่เมื่อถึงเวลาให้ต้องลงมือทำ ฉันกลับมักจะลังเล และหลายๆ ครั้งก็ลงเอยด้วยการเลือกที่จะไม่ทำ หรือหากฉันเลือกที่จะทำ มันก็ช่างเป็นสิ่งที่ยากเสียเหลือเกิน ไม่ใช่เพียงเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้คนภายนอก แม้แต่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวของฉันเอง กับผู้คนในครอบครัวที่ฉันรัก กับผู้คนต่างๆ ที่ใกล้ชิดและคุ้นเคย กับงานที่ฉันรักและเลือกแล้วที่จะมาทำ หรือแม้แต่กับสิ่งที่ฉันฝันและปรารถนาที่จะทำ จนในหลายครั้งฉันก็รู้สึกถอดใจ ... “เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้ ทำไมฉันถึงทำไม่ได้เสียที”

ฉันแอบเซ็งตัวเองเล็กๆ ที่ครั้งนี้ฉันก็ร้องไห้อีกแล้ว แม้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนกลุ่มนี้ไปแล้วที่ฉันมักจะร้องไห้ เมื่อบอกเล่าเรื่องราวที่อยู่ภายในใจ ฉันเองก็รู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจมากพอที่จะเปิดเผยความคิดความรู้สึกของฉัน นั่นสิ ไม่เห็นว่าจะต้องร้องไห้เลยนี่นา ... และนี่ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ฉันก็ทำไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง

“สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ายากและกังวลใจ ไม่ใช่เพราะว่าไม่ได้ทำ หรือว่าทำสิ่งนั้นไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะความคาดหวังของตัวเอง เพราะรู้สึกว่าอยากจะไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากจะเป็นในสิ่งที่เป็นอยู่ เราก็เลยดิ้นรนและรู้สึกอึดอัด ถ้ากังวลใจเพราะว่ายังไม่ได้ทำจริง เราก็คงจะทำสิ่งนั้นไปแล้ว สิ่งที่เป็นจะเรียกว่าไม่มีวินัยก็ว่าได้ หนทางที่เราจะสามารถเป็นคนที่มีวินัยได้นั้น ต้องเกิดจากการทำบ่อยๆ อย่างจดจ่อต่อเนื่อง และทำด้วยความไม่คาดหวัง ทำไปให้ดีที่สุด และก็ควร ‘ทำทิ้ง’ ไม่ทำด้วยความอยาก ถ้าทำเพราะว่าอยากจะเป็นคนที่มีวินัยมันก็จะหนัก มันก็จะยาก แต่ให้ทำเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ” อาจารย์พูดขึ้นหลังจากที่ฉันพูดจบ

“แล้วการทำด้วยเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ กับการทำเพราะว่าความอยากนี่มันมีหนทางแตกต่างกันยังไงนะ” คำถามหนึ่งเกิดขึ้นมาในหัวของฉัน

แม้ว่าฉันจะรู้สึกคลี่คลายมากขึ้นเมื่อได้ยินอาจารย์บอกพวกเราเกี่ยวกับการเดินทางเพื่อแสวงหาคำตอบสำหรับโจทย์ยากๆ ของพวกเราแต่ละคน ก่อนที่งานเลี้ยงในวันนั้นจะจบลง อาจารย์บอกว่า “หนทางในการเดินทางน่ะอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้จากการถาม ว่าทางเดินอยู่ตรงไหนเสมอไปหรอกนะ เราสามารถสร้างทางเดินขึ้นมาได้จากการเดินของเราเอง เดินไปเรื่อยๆ เส้นทางมันจะเกิดขึ้นมาเอง”

แต่คำถามที่ว่า “แล้วหนทางในการทำด้วยเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ นี่มันเป็นยังไงกันนะ” ก็ยังคงเกิดขึ้นในใจของฉันอยู่เนืองๆ ตลอดทางที่กลับบ้าน

คืนวันนั้น ฉันกลับมาเขียนบันทึกเหมือนเช่นที่เคยทำ จะต่างออกไปก็ตรงที่ครั้งนี้ฉันนึกครึ้มอกครึ้มใจลองเปิดอ่านบันทึกที่เคยเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อต้นปีก่อน จากหน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ก่อนจะเริ่มต้นเขียนบันทึกสำหรับวันนั้น แล้วฉันก็อดแปลกใจกับตัวเองไม่ได้หลังจากอ่านจบ เพราะความหนักอึ้ง งุนงงสงสัย ความไม่แน่ใจ คำถามต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมันได้จางหายไป พร้อมๆ กับความรู้สึกอิ่มเอมใจ คำขอบคุณและชื่นชมยินดีที่ฉันมีให้แก่บุคคลคนหนึ่ง คนที่อยู่กับฉันมาตลอดบนเส้นทางที่ผ่านมาของการเดินทางในชีวิตฉัน

บนเส้นทางที่ผ่านมามีผู้คนมากมายที่ฉันได้ร่วมเดินทาง ได้ร่วมเรียนรู้ มีคำขอบคุณ ความชื่นชมและกำลังใจมากมายที่ฉันเคยได้เอื้อนเอ่ยออกไปแก่เขาเหล่านั้น ทั้งที่เป็นความรู้สึกและคำพูด แต่มีน้อยครั้งเหลือเกินที่ฉันจะได้เอ่ยคำขอบคุณแก่บุคคลคนหนึ่งที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้ ได้บอกกล่าวความชื่นชม และให้กำลังใจในการเดินทางที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ของเขา ... บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับฉันยิ่งนัก

“เมื่อกี้นี้ได้ลองเปิดอ่านบันทึกหน้าต่างๆ ที่ผ่านมา จนมาถึงหน้าที่กำลังเขียนอยู่นี้ บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าดีใจมากๆ เลย แม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นการเดินทางที่ดีอะไรมากมาย แต่ก็เป็นการเดินทางที่งดงามมาก รู้สึกดีใจและชื่นชมการเดินทางที่ผ่านมา และก็อยากจะเป็นกำลังใจให้กับการเดินทางข้างหน้าของตัวเองจริงๆ”

หากจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกๆ ที่ฉันได้กล่าวคำขอบคุณและชื่นชมยินดีกับการเดินทางของตัวเองก็คงจะไม่ผิดนัก

ฉันมักจะรู้สึกว่าตัวของฉันนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังขาด ยังพร่อง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำสิ่งต่างๆ เพื่อเติมช่องว่างเหล่านั้นให้เต็มและหวังว่าการเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นจะสามารถทำให้ฉันเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ในสักวันหนึ่ง เพื่อว่าฉันจะสามารถเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ได้ สามารถเป็นพี่ที่ดีของน้องๆ ได้ สามารถทำสิ่งต่างๆ เพื่อคนอื่นได้ และสามารถเป็นในสิ่งที่ฉันฝันได้

แต่ทว่า ยิ่งฉันพยายามทำเพื่อเติมช่องว่างเหล่านี้ให้เต็ม การเดินทางก็ดูจะยิ่งยากลำบากขึ้น

ความรู้สึกขอบคุณ ชื่นชม และกำลังใจที่ได้รับมาจากตัวเอง หลังจากได้มาทบทวนการเดินทางที่ผ่านมานั้น ทำให้ฉันรู้สึกว่าช่องว่างที่เคยขาดหายไปนั้นกลับเต็มขึ้นมา การเดินทางที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ดีอะไรมากมาย และยังมีอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่จำเป็นจะต้องทำเพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้นนั้น กลายเป็นสิ่งที่สำคัญ มีคุณค่า มีความหมายและงดงาม โดยไม่จำเป็นจะต้องกลับไปปรับเปลี่ยนหรือแก้ไข เช่นเดียวกับการเดินทางที่กำลังเกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อเติมช่องว่างเหล่านั้นให้เต็ม หากแต่เกิดขึ้นเพื่อให้ฉันได้ทำในสิ่งที่ควรทำในปัจจุบันให้ดีที่สุด และความเป็นไปได้อื่นๆ ที่ฉันสามารถจะเป็นได้ ก็เป็นสิ่งที่เกิดจะขึ้นเองจากทุกๆ ก้าวที่ฉันเดินทาง

“ฉันเองก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าการเดินทางก้าวต่อไปจะเป็นอย่างไร และหนทางของการเดินทางเพื่อตอบโจทย์ยากๆ ของฉันนี้จะเป็นเช่นไร หากแต่คำตอบคงจะอยู่ที่การเดินทางกระมัง และนี่ก็เป็นอีกก้าวหนึ่งของการเดินทาง”

บันทึกในวันนั้นจบลงที่ตรงนี้ หากแต่การเดินทางของฉันก็ยังคงดำเนินต่อไป ในทุกๆ ขณะที่ฉันกำลังก้าวเดิน

1 Comment:

  1. Unknown said...
    ดีใจที่มีเพื่อนร่วมเดินทางที่แสนดี
    และดีใจมากยิ่งขึ้นที่มองเห็นแล้วว่าเพื่อนคนนี้ร่วมทางมาตลอด

    ดีใจด้วยกับการเดินทางยาวไกลที่ผ่านมา
    และดีใจยิ่งกว่ากับเส้นทางยาวไกล ที่มีให้เดินทางต่อไปในอนาคต

    ดีใจที่มีโอกาสได้หยุด และหันกลับไปมองรอยเท้าบนเส้นทางที่ผ่านมาอย่างเห็นคุณค่าและความงามของรอยเท้าที่ก้าวผ่านมานั้น
    และดีใจยิ่งกว่าที่รู้ว่าความงดงาม และคุณค่าของรอยเท้าบนเส้นทางสู่อนาคตเกิดจากก้าวเล็กๆ ที่มั่นคงในปัจจุบัน


    ดีใจด้วยครับ

    พบ

Post a Comment



Newer Post Older Post Home